เปิดโลก HPE dHCI เจนฯ ใหม่ ของการจัดการข้อมูลยุคคลาวด์–เนทีฟ ครบเครื่องการจัดการทุกแพลตฟอร์มข้อมูลแบบองค์รวม พร้อมมาตรฐาน ความปลอดภัยด้วยเอไอจาก HPE Nimble หรือ ALLETRA 6000 Storage dHCI
ตลอดเส้นทางการจัดการดาต้าเซ็นเตอร์จนมาถึงยุคคลาวด์ในปัจจุบัน ลูกค้าต้องเผชิญกับเทคโนโลยีที่ต่างจากเดิม ขณะที่ประสบการณ์การใช้งานผ่านคลาวด์ หรือ On-Prem ก็ต้องการอินฟราสตรักเจอร์ในการจัดการทุกข้อมูลแบบองค์รวม รวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว (Unified Data Operation) เพื่อให้การบริการข้อมูลทั้งเก่าและใหม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ประสบการณ์อีกขั้นกับ dHCI
Hyperconverged Infrastructure (HCI) ไม่ใช่ของใหม่ แต่ถูกออกแบบมานานแล้วเพื่อควบรวมการกำกับการทำงานของส่วนประมวลผล สตอเรจ เน็ตเวิร์ก รวมถึงเวอร์ชวลแมชชีนไว้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความง่ายในการจัดการและการลงทุนที่เริ่มต้นจากเล็กและขยายไปหาใหญ่ในอนาคต ทว่า หลักที่ถูกต้องของ HCI คือ เมื่อองค์กรต้องการขยายจำนวนโหนดใหม่ (node) เพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้น ก็ควรจะมีการใช้ทรัพยากรให้ใกล้เคียงกับโหนดเดิมมากที่สุด
แต่ในทางปฏิบัตินั้นยาก เพราะความต่างรุ่นต่างยุคของเทคโนโลยีทั้ง ซีพียู หน่วยความจำ เน็ตเวิร์ก ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เป็นต้น คำถามคือ เราจะผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ลงไปในคลัสเตอร์ ซึ่งมีทรัพยากรแบบเดิม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเสมือนทำงานบนทรัพยากรเดียวกัน โดยไม่เกิดการทำงานที่ล่าช้า (Delay Time) หรือต้องหยุดระบบชั่วคราว (Timeout) ได้อย่างไร?
ครบเครื่อง dHCI ด้วย HPE ALLETRA 6000 Storage
HPE ALLETRA 6000 หรือเดิม HPE Nimble สตอเรจภายใต้แนวคิด dHCI ซึ่งเติมเต็มการจัดการอินฟราสตรักเจอร์ของข้อมูลบนคลาวด์–เนทีฟในแบบ As-a-Service เมื่อทำงานร่วมกับ HPE GreenLake Platform โดย HPE ALLETRA 6000 เน้นการรองรับกิจกรรมสำคัญทางธุรกิจ (Business Critical Workload) มีความเก่งในการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันใหม่ ๆ เช่น คอนเทนเนอร์ และขจัดปัญหาการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน (Data Deduplication) โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการให้บริการ (High Performance)
3 หัวใจสำคัญสตอเรจ HPE ALLETRA 6000 เน้นตอบโจทย์องค์กรธุรกิจ ประกอบด้วย
1. สนับสนุนความเป็นอัตโนมัติในการขับเคลื่อนนโยบายและการรวมศูนย์ข้อมูล (Data-Centric & Policies Automation) ที่ทำงานได้ทั้งบนสภาพแวดล้อมเดิม เช่น เวอร์ชวลไลเซชัน ดาต้าเบส อีอาร์พี ไปจนถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์–เนทีฟ อาทิ คอนเทนเนอร์ NON SQL แมชชีนเลิร์นนิง
2. เพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานคลาวด์ที่ดี (Cloud-Native) ที่รองรับทั้งเอดจ์ ระบบหลัก (Core) ในดาต้าเซ็นเตอร์ของลูกค้าแบบ On-prem และบนคลาวด์ โดยทำการสำรองข้อมูลได้สะดวกจากทุกที่
3. เติมเต็มประสิทธิภาพด้วย AI (AI-Driven) มาช่วยบริหารจัดการอินฟราสตรักเจอร์ที่มีความซับซ้อนให้มีความมั่นคงปลอดภัย เพิ่มการตัดสินใจที่ถูกต้องและแม่นยำ ตลอดจนชูความสามารถของเทคโนโลยี (S.P.R.E.A.D) ซึ่งออกแบบมาให้โดดเด่นและเข้ากันได้กับทุกภาระงาน (Workload)
ถอดรหัส S.P.R.E.A.D กับการจัดการข้อมูลที่ดีกว่า
Scale เน้นการปรับขยายที่ง่ายและไร้ข้อจำกัดด้วย HCI 2.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวที่ใช้ได้กับทุกการทำงาน อาทิ เวอร์ชวลแมชชีน แอปพลิเคชันสมัยใหม่ (Modern App) เช่น คอนเทนเนอร์ คูเบอร์เนเตส ไมโครเซอร์วิส หรือเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าในลักษณะ Physical Host (ประกอบด้วยส่วนประมวลผล สตอเรจ และเน็ตเวิร์ก) ให้สามารถทำงานภายใต้ dHCI ชุดเดียวกัน แม้กระทั่งการแชร์ทรัพยากรของ dHCI ร่วมกับไฮเปอร์–วี, ออราเคิลดาต้าเบส, SAP HANA หรือเวอร์ชวลเดสก์ท็อปก็ทำได้
Simple เน้นการบริหารจัดการที่ง่ายจากจุดเดียว (Single Management UI) สำหรับผู้ใช้งานวีเอ็มแวร์ (VMWare)
Performance ระบบ dHCI ถูกออกแบบให้มีความแตกต่างจากระบบ HCI ดั้งเดิม เพิ่มความสามารถในการรองรับ ปริมาณ Workload ขนาดใหญ่ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน (Guarantee Performance) สามารถทำงานร่วมกับ Unified API เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบริการต่าง ๆ ผ่าน DevOps ได้เป็นเอกภาพบนมาตรฐานเดียวกัน เพื่อการส่งต่อการทำงานที่ราบรื่นทั้งในปัจจุบันและอนาคต
Reliability ความน่าเชื่อถือด้านการให้บริการระดับ Enterprise สูงสุด 99.9999% (การันตี Uptime 99.9999%) โดยหยุดการให้บริการไม่เกิน 32 วินาทีต่อปี (Downtime <32 วินาที/ปี)
Effective Capacity ประสิทธิภาพในการบีบอัดและลดทอนความซ้ำซ้อนของข้อมูล เพื่อการันตีพื้นที่การใช้งานสตอเรจได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
AI เพิ่มการชี้แนะภาระงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยแมชชีนเลิร์นนิง พร้อมแจงถึงต้นตอของปัญหา (Root Cause) ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ครบถ้วนทั้งในส่วนประมวลผล สตอเรจ ลงลึกถึงระดับเวอร์ชวลแมชชีน
ซึ่งรวมถึงเรื่องของเอสคิวแอล (SQL) ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มมุมมองการวิเคราะห์ข้อมูลชนิดเต็มรูปแบบร่วมกับเอไอ (Full Stack Analytics and Al-Ops) โดยใช้ฐานความรู้ (knowledge base) ที่สะสม IOT Sensor จากผลิตภัณฑ์ทั่วโลก ร่วมกับบิซิเนสอินเทลลิเจนซ์ (Business Intelligence) มาเสริมรูปแบบการวิเคราะห์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
Data Protection ที่ฝังมากับตัวสตอเรจให้พร้อมป้องกันภัยคุกคามจาก
แรนซัมแวร์ต่าง ๆ (Built in Anti-Ransomware) ผ่านเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูง สามารถสร้าง Snapshot ได้ในปริมาณรวมกันมากกว่า 100,000 session (1000 session/Volume) ซึ่งนำมาใช้เป็นข้อมูลในการสร้างระบบปกป้องข้อมูลเพื่อป้องกันแรนซัมแวร์ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเทคโนโลยีสตอเรจ HPE ALLETRA 6000 พร้อมแนวคิด dHCI ของเอชพีอีนี้เอง จะช่วยให้ทุกองค์กรสามารถพัฒนาระบบจัดการข้อมูลบนคลาวด์–เนทีฟที่มีประสิทธิภาพพร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงภายใต้การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
ที่มา : บริษัท ยิบอินซอย จำกัด