ปัจจุบันอุปกรณ์จำนวนมากใช้การชาร์จแบบไร้สาย ช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกในการใช้งานมากขึ้น ลดความเสียหายจากรูชาร์จ และยิ่งในยุคที่รูหูฟัง 3.5 mm ถูกถอดไป รูชาร์จทั้ง Typc – C หรือ Lighning ก็ต้องรับภาระมากขึ้น
แต่รู้ไหมว่า การชาร์จแบบไร้สายทำงานอย่างไร Techhub จะพาไปไขความกระจ่างให้
ปัจจุบันระบบไร้สายเป็นรูปแบบการชาร์จที่มีมาตรฐานกลางที่สุดรูปแบบหนึ่ง ต่างจากที่ชาร์จแบบมีสายซึ่งต้องใช้ตัวเชื่อมต่อที่หลากหลาย (USB – C , Micro USB, Lightning) โดยอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สายส่วนใหญ่ใช้มาตรฐาน Qi ที่กำหนดโดยองค์ที่ชื่อว่า Wireless Power Consortium (WPC) ซึ่งหมายความว่าแผ่นชาร์จมาตรฐานเดียวจะใช้ได้กับอุปกรณ์ทั้งหมดเช่น Apple Airpods และ Galaxy Note หรืออุปกรณ์ชาร์จไร้สายแบบอื่น ๆ
อุปกรณ์ชาร์จไร้สายจะใช้กระบวนการที่เรียกว่า “การเหนี่ยวนำแม่เหล็ก” โดยเปลี่ยนจากพลังงานแม่เหล็กจากแผ่นชาร์จไปเป็นเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านขดลวดภายในอุปกรณ์ จากนั้นพลังงานนี้จะถูกนำไปชาร์จแบตเตอรี่ (หากใครอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับ การเหนี่ยวนำแม่เหล็ก ลองเซิตใน Google ดูก่อน เพราะถ้าเขียนในนี้จะยาวมากเลย)
ปัจจุบัน เครื่องชาร์จไร้สายทั่วไปที่ใช้มาตรฐาน Qi สามารถชาร์จได้สูงสุดถึง 15 วัตต์บนอุปกรณ์ที่รองรับ ความเร็วในการชาร์จที่เร็วขึ้นนี้เรียกว่า Extended Power Profile (EPP)
กระบวนการที่จะเกิดขึ้น เมื่อเรานำมือถือไปวางบนแท่นชาร์จคือ
1.การดีเทค หรือตรวจจับ โดยแท่นชาร์จจะส่งสัญญาณไปที่อุปกรณ์ด้านบนว่ามีอุปกรณ์ที่รองรับ Qi อยู่ด้านบนหรือไม่
2.การตรวจรูปแบบการชาร์จ โดยหากเครื่องรับอยู่ใน Qi เวอร์ชันล่าสุด จะสามารถชาร์จเร็วได้สูงสุด 15 วัตต์ โดยแท่นชาร์จก็ต้องรองรับที่ 15 วัตต์ ด้วยนะ
3.การตรวจจับความร้อน ในการชาร์จแบบไร้สาย อาจสร้างความร้อนได้มากกว่าการชาร์จปกติ เพราะหากมีความร้อนมากขึ้น ตัวส่งจะชอการส่งพลังงานออกไป
4.เมื่อชาร์จเต็ม เซ็นเซอร์ในอุปกรณ์รับจะส่งสัญญาณบอกว่าเต็มแล้ว และตัวอุปกรณ์จะเลิกปล่อยพลังงาน ซึ่งให้เราสามารถวางชาร์จแบบข้ามคืนได้ โดยไม่ต้อวกลัวว่าอุปกรณ์จะเสียหาย
ในอดีตการชาร์จแบบไร้สายนั้นสร้างความสะดวกให้ผู้ใช้มากขึ้น แต่ชาร์จช้ามาก และมีต้องวางตรงจุด ไม่งั้นจะไม่ชาร์จ โดยเริ่มต้มชาร์จที่ 5 วัตต์ ซึ่งน้อยกว่าการชาร์จแบบมีสายอย่างมาก