การทำงานแบบ Mobile Office หรือการเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน บริษัทและตัวเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง อาทิ พัฒนาความรู้ความสามารถในเชิงการวิเคราะห์ กับความรู้ทักษะการใช้งานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นพวกอุปกรณ์ต่างๆ อย่าง โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต สมาร์ตโฟน
ช่วง 2-3 ปีทีผ่านมามีการพูดถึงเรื่อง AI หรือปัญญาประดิษฐ์ว่าจะเข้ามาแย่งงานในหลายๆ อาชีพของมนุษย์แน่นอนว่าพี่มิ้งค์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็เริ่มต้องมองหาลู่ทางและปรับตัวให้อยู่รอดหากวันนั้นมาถึงจริง ประเด็นนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อคนทำงานเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อองค์กรหรือบริษัท เพราะรูปแบบในการทำธุรกิจ ตลอดจนการบริหารบุคคลก็จะต้องเปลี่ยนไป
หลายบริษัทเริ่มมีการปรับตัวด้วยการลดขนาดพื้นที่ของบริษัท แล้วใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน ในส่วนของพนักงาน บริษัทก็ให้สามารถทำงานจากนอกออฟฟิศได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท Google ก็มีโครงการ work-at-home Google employment ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีนับแต่เริ่มโครงการ ปัจจุบันกูเกิ้ลมีพนักงาน กว่า 30,000 คนอยู่ในสำนักงานทั่วโลก 60 แห่ง คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้น หากต้องการทำงานแบบ Mobile Office หรือการเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน บริษัทและตัวเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ในส่วนพนักงาน สิ่งที่ต้องเตรียมตัว คือความรู้ความสามารถในเชิงการวิเคราะห์ที่ต้องมากขึ้น หากเรายังทำงานแนวเอกสารหรืองานที่ทำซ้ำๆ ก็มีโอกาสที่ AI จะมาทำแทนเราได้ อีกส่วนหนึ่งที่เราต้องพัฒนาโดยด่วนคือความรู้ทักษะการใช้งานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นพวกอุปกรณ์ต่างๆ อย่าง โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต สมาร์ตโฟน ที่เราต้องใช้งานได้มากกว่าแค่ฟังก์ชันพื้นฐาน ตลอดจนการดึงเอาประโยชน์จาก Cloud Service ต่างๆ
ด้านบริษัทเอง ก็ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์หรือระบบที่รองรับการทำงานจากนอกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการมีอุปกรณ์ให้กับพนักงานที่เป็นลักษณะโมบาย อาทิ โน้ตบุ๊กบางเบา หรือแท็บเล็ตที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ตลอดจนเครื่องพิมพ์ที่สามารถสั่งพิมพ์งานเพื่อส่งเอกสารสำคัญบางอย่างที่ยังจำเป็นต้องใช้เป็นกระดาษ ซึ่งปัจจุบันก็มีเครื่องพิมพ์ที่รองรับการทำงานแบบนี้แล้ว
ตัวอย่างเช่น เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมัลติฟังก์ชันจากบราเดอร์ รุ่น MFC-T4500DW ที่มีการเชื่อมต่อที่หลากหลาย สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้หลายคนพร้อมกันและสั่งพิมพ์งานได้สะดวกด้วยการสั่งพิมพ์และสแกนผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ด้วยแอปพลิเคชั่น iprint&scan ไม่ว่าจากที่บ้านหรือที่ทำงานผ่านเครือขายทั้งแบบมีสายและไร้สาย นอกจากนี้ยังเป็นรุ่นที่คุ้มค่ากับการลงทุนสำหรับองค์กร เพราะมีระบบรีฟีลด์แท็งค์ (Refill Tank System) ที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายในการเติมหมึกด้วยช่องดูปริมาณน้ำหมึกสามารถเติมหมึกได้เองและรองรับงานพิมพ์ ขนาด A3
เพื่อให้ชัดเจนขึ้นพี่มิ้งค์ขอยกตัวอย่างการทำงานแบบ Mobile Office ในสไตล์พี่มิ้งค์ เริ่มต้นพี่มิ้งค์ก็ต้องมี iPad ที่ลงแอปพลิเคชันสำหรับการทำงานไว้พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็น Pages สำหรับงานเอกสาร Keynote สำหรับงานพรีเซนเตชั่น และ Numbers สำหรับงานด้านตัวเลข เป็นต้น รวมถึงแอปพลิเคชันที่เป็น Cloud Computing อย่าง Google Apps อาทิ Gmail และ Google Docs รวมถึง แอปพลิเคชันที่เป็นคลาวด์อื่นๆ อย่าง Dropbox เวลาจะประชุมพี่มิ้งค์ก็แค่ใช้ Skype ช่วย กรณีที่จะประชุมกับลูกค้าจำนวนหลายคน แต่ถ้าเป็นการคุยกันแค่ 2 คนก็อาจใช้ LINE ซึ่งก็มีฟังก์ชันทั้งการโทรด้วยเสียงหรือ VDO Call ที่โทรแบบเห็นหน้า
จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการที่จะทำงานแบบ Mobile Office พนักงานก็รู้สึกมีอิสระในการทำงานมากขึ้น พนักงานที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วจะยิ่งทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเขาจะทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง เขาจะทำงานทุกที ทุกเวลา แบบไม่มันหยุด เพราะเขาจะทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน และจะทำงานได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
ส่วนบริษัทก็ได้ประโยชน์ในแง่ของประหยัดต้นทุน เพราะพนักงานไม่ต้องเข้านั่งมาทำงานที่บริษัท บริษัทสามารถลดขนาดพื้นที่ ลดจำนวนอุปกรณ์ตั้งโต๊ะ ลดปริมาณการใช้พลังงานลงได้มาก นับเป็นแนวคิดใหม่ที่เข้ายุคดิจิทัลและได้ประโยชน์แบบ Win-Win ในทุกฝ่ายครับ
ดูรายละเอียด brother MFC-T4500DW เพิ่มเติมได้ที่
http://www.brother.co.th/th-TH/home/all-printers/printers/MFC-T4500DW-A3