หลังการมาของ Windows 8 และ Windows 10 ในปัจจุบัน ทำให้มีโน้ตบุ๊คหลายรุ่นมาพร้อม “ระบบทัชสกรีน” สามารถจิ้ม ๆ ไถ ๆ คำสั่งบนหน้าจอได้โดยตรง และเพื่อสนองการทัชสกรีนให้ดีกว่าเดิม ก็ทำให้ดีไซน์โน้ตบุ๊คมีความเป็นแท็บเล็ตมากขึ้น ด้วยการออกแบบหน้าจอให้พับกลับหลัง 360 องศาได้ หรือสามารถแยกหน้าจอและคียบอร์ค เพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ตเต็มรูปแบบเลยก็ได้ เพราะเหตุนี้เอง ทำให้การเลือกซื้อโน้ตบุ๊ค 2-in-1 จึงมีความแตกต่างจากโน้ตบุ๊คทั่วไป เพราะเราไม่ได้ดูแค่สเปกอย่างเดียวแล้ว เราต้องดูภายนอกของมันด้วย ในครั้งนี้จะมาพูดถึง 5 วิธีเลือกซื้อโน้ตบุ๊คแนวนี้กัน เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่อยากลองสัมผัส อยากลองใช้งานโน้ตบุ๊ค 2-in-1 ครั้งแรก (หรืออยากซื้อใหม่) มาว่าด้วย 5 เคล็ดลับการเลือกซื้ออย่างเซียนกันครับ
“Display” เป็นต่อเสมอ
- [หน้าจอคือหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊คไฮบริด]
จุดสำคัญของโน้ตบุ๊ค 2-in-1 แท้จริงแล้วคือ Display หรือ หน้าจอ เพราะต้องเป็นจอสัมผัส แน่นอนว่ามันต่างกับหน้าจอของโน้ตบุ๊คทั่วไปแน่นอน และส่วนที่ควรดูก่อนคือ “สีสันและความละเอียด” เนื่องจากเราต้องใช้จอเป็นหลัก บางครั้งอาจต้องยกมามองในระยะใกล้เลย ดังนั้นควรดูก่อนเลยว่า หน้าจอของโน้ตบุ๊ค 2-in-1 ที่กำลังเลือกซื้อนั้น ดูแล้วโอเคไหม สบายตาหรือไม่ ถ้าผ่านก็จัดเลย
“Design” ที่ใช่ ตัวเราว่าชอบหรือเปล่า ?
- [โน้ตบุ๊ค 2-in-1 มีหลายท่า เลือกผิด เราพลาดท่า]
เป็นที่รู้กันว่าโน้ตบุ๊คประเภทนี้มันถูกออกแบบมาให้ประหลาดกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไป ปัจจุบันมีให้เลือก 2 แบบอย่าง Flexible หน้าจอหมุนได้ 360 องศา และ Detachable คีย์บอร์ดกับหน้าจอแยกร่างได้ ต้องบอกก่อนว่าทั้ง 2 แบบนี้มีดีเหมือนกันหมด เพียงแต่มีวิธีดูต่างกันตามนี้
Flexible สิ่งที่ควรดูคือ “ข้อพับ” เนื่องจากมันหมุนได้ 360 องศานี้แหละ ก็กลายเป็นว่ามันจะต้องทำงานหนักมากที่สุด ดังนั้นเราควรจะดูในเรื่องวัสดุว่าแข็งแรงมากไหม ซึ่งถ้าเป็นเหล็กหรืออะลูมิเนียมได้จะดีมาก ทั้งนี้ยังมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ พวก Flexible มักจะมีสเปกสูง (ราคาก็โหดมากเช่นกัน) ส่วนรุ่นล่าง ๆ จะมีสเปกพอประมาณ เทียบเท่ากับโน้ตบุ๊คปกติ
Detachable สิ่งที่ควรดูคือ “สเปก” เนื่องจากส่วนมากดีไซน์ประเภทนี้มักจะมีแต่รุ่นที่ใช้สเปกค่อนข้างต่ำ แถมบางรุ่นไม่ใช้ Windows อีกต่างหาก แต่ใช้ Android ซึ่งหากใครลืมดูสเปกแล้วไปซื้อตัวที่ใช้ OS หุ่นเขียวนี้มาโดยหวังจะใช้แบบคอมพ์ล่ะก็ ได้ร้องซี๊ดแน่ครับ ฉะนั้นควรส่องสเปกให้ดี ๆ ก่อนซื้อว่าเหมาะกับเราไหม
“Spec” ดีอย่างไหน ก็ใช้งานดีอย่างนั้น
- [โน้ตบุ๊ค 2-in-1 ไม่ใช่ Gaming]
โน้ตบุ๊ค 2-in-1 นั้น ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการพกพา ดังนั้นหน้าที่หลัก ๆ ของมันคือ “การพลิกแพลง” นั้นเอง ฉะนั้น หากใครคิดที่จะเอาไปเล่นเกม Assassin’s Creed Odyssey ภาคล่าสุด หรือทำงานใช้ Rander 3D/Video File แบบหนัก ๆ ล่ะก็ คิดใหม่เลย เนื่องจากเพื่อไม่ให้ตัวโน้ตบุ๊คมีราคาสูงและหนาเกินไป จึงมีการใส่สเปกที่ไม่โหดมากนัก ซึ่งทั้งหมดนั้นมักจะไม่มีการ์ดจอแยก (บางรุ่นยัด GTX 1050 มาเลยก็มี แต่ขนาดก็ใหญ่ตาม) จะใช้ CPU ทำหน้าที่แทน แต่ก็แลกด้วยดีโซน์ที่ล้ำยุค พกพาง่าย และบางเบา นี่คือข้อทดแทนของมัน ว่ากันที่สเปกที่ควรใช้ตามหัวข้อ ผมจะแบ่งกลุ่มการใช้งาน ตามสเปกทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
- ใช้งานทั่วไป Microsoft Office เล่นอินเทอร์เน็ต และดูหนังฟังเพลง ใช้ CPU Atom หรือ Pentium / RAM 2 – 4 GB / SSD 64 – 128GB เช่น Lenovo Miix 320 , HP Pavilion x360 และ Surface Go
- ใช้รัน Photoshop , Premiere Pro หรือ พอเล่นเกมส์ได้ ใช้ CPU Core i5 หรือ AMD Ryzen 5 / RAM 4 GB / SSD 128 – 256 GB เช่น HP Envy x360 , New Surface Pro (รุ่นกลาง)
- ใช้ทำงานเต็มตัว เอาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน พรีเซนต์งานให้ลูกค้า หรือเจ้านายที่เคารพดู ใช้ CPU Core i5 หรือ i7 / RAM 8 GB / SSD 256 – 500GB เช่น Lenovo Yoga 930 , Surface Pro 6 หรือ Book 2 (รุ่น Top)
“Price” คือตัวแปร เงินคือทุกอย่าง
- [จงจำไว้ว่า ง.เงิน นั้นหายาก]
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะอยากได้โน้ตบุ๊ค 2-in-1 แบบไหน ก็ไม่พ้นสตางค์ที่เรามีอยู่ดี สำหรับใครที่คิดจะซื้อนั้น ควรไปศึกษาให้ดีๆ ว่า จำเป็นไหม และควรดู “ความสมเหตุสมผล” ของโน้ตบุ๊ค 2-in-1 ที่เรากำลังซื้อนี้ด้วย อย่างแรกเลย ให้เตรียมใจไว้เลยว่า ราคามันจะสูงกว่าสเปกที่ควรจะเป็นแน่ ฉะนั้นเราไม่ควรไปเปรียบราคากับโน้ตบุ๊คทั่วไป แต่ควรเปรียบเทียบราคาโน้ตบุ๊ค 2-in-1 ด้วยกันเอง สมมติว่าเรามีงบ 30,000 บาท อยากได้โน้ตบุ๊ค 2-in-1 ที่สามารถตอบโจทย์ของตัวเองได้ เช่น ต้องมี CPU i5 เราก็ไปไล่ดูเลยว่า มีรุ่นไหนบ้างที่มี CPU ระดับนี้ เสร็จแล้วก็เอามาไล่เรียงดูว่ารุ่นไหนถูกที่สุด หากเจอแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้เอาชื่อรุ่นดังกล่าวไปเสิร์ชหาข้อมูลดูว่ามันดีจริงไหม ถ้าไม่ ก็ดูรุ่นที่ถูกลงมาอีก แล้วทำแบบเดิม สุดท้ายแล้ว รุ่นนี้เอโค ก็จัดเลยครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บางรุ่นอาจมีราคาแพงก็จริง แต่เมื่อลองดูโดยรวมแล้ว พบว่ามันดูมีภาษีดีกว่าจริงๆ จะลองกัดฟันซื้อ แล้วเตรียมใจว่า “โน้ตบุ๊ค 2-in-1 ตัวนี้ตอบแทนเราได้ดีแน่นอน” ดูก็ได้ครับ
“Brand” นั้นสำคัญไฉน
- [ของทุกชนิด ย่อมมีวันพัง โน้ตบุ๊คก็เช่นกัน]
สุดท้ายแล้ว หลายคนคงอ่านเหนื่อยๆ พอมาถึงข้อนี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณไม่กลายเป็นพวก “ตาดีได้ ตาลายเสีย” แล้วครับ สำหรับในข้อนี้ผมขอบอกเลยว่าสำคัญ กล่าวคือ เดี๋ยวนี้มีผู้ผลิตหลายเจ้าพากันผลิตโน้ตบุ๊ค 2-in-1 ออกมามากมายเป็นจำนวนมาก ที่นี้เราก็จะเกิดคำถามว่า “Brand ไหนดีที่สุด” คำถามนี้ผมถือเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ คือไม่ว่ายังไงตาม ของจะผลิตออกมาดีแค่ไหน ทนทานขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้ว ก็ย่อมมีวันพังทุกเครื่องอยู่ดี ที่นี้ เราควรถามใหม่ว่า “ประกัน Brand ไหนดีที่สุด” เอโคนี้ค่อยเคลียร์หน่อย อย่างที่บอก ของทุกชิ้นย่อมมีวันพัง ประกันหลังการขาย จึงมีเพื่อการนี้ หากเราได้โน้ตบุ๊ค 2-in-1 ที่ถูกใจแล้ว สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างสุดท้ายคือ เช็กว่าบริการหลังการขายนั้นมันเอโคไหม ดูยังไง เสิร์ชหาข้อมูล ถามคนใกล้ตัว หรือทดลองมันเองซะเลย ก็ว่าไปครับ