นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า “ศูนย์วิจัยฯ ได้ทำการสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเปิดเทอม ปี 2562 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศจำนวน 2,186 ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนฐานรากส่วนใหญ่ ร้อยละ 67.3 มีภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตร/หลาน 1 คน และอยู่ในระดับการศึกษาในชั้นประถมศึกษามากที่สุด โดยภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเปิดเทอม คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 34,970 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือน อยู่ที่ 7,030 บาท ปรับลดลง จากปีที่แล้ว เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างบางส่วนเลือกที่จะใช้สิ่งของเดิมที่มีอยู่แล้ว อาทิเช่น ชุดนักเรียน อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนหนังสือเรียนจากโรงเรียน
เมื่อสอบถามถึงการเตรียมตัวหรือการจัดการค่าใช้จ่ายของบุตร/หลาน ช่วงเปิดเทอมของประชาชนฐานราก พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้มีการเตรียมตัวโดยการปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต (ร้อยละ 69.4) เลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่ราคาถูกที่สุด (ร้อยละ 43.5) และหารายได้เสริม (ร้อยละ 38.5)
ส่วนแหล่งที่มาของเงินที่นำมาใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2562 พบว่า ส่วนใหญ่เกินครึ่งมาจากรายได้ (ร้อยละ 54.7) เงินจากคนในครอบครัว (ร้อยละ 24.4) เงินออม (ร้อยละ 10.2) เงินสวัสดิการจากภาครัฐ (ร้อยละ 5.8) และเงินกู้ยืม/จำนำ (ร้อยละ 4.9) ซึ่งมีทั้งเงินกู้นอกระบบและในระบบ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ต้องนำเงินที่ได้จากการเก็บออมมาใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก ปีก่อน นอกจากนี้การใช้เงินจากเงินกู้ก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยเป็นการกู้เงินจากนอกระบบมากกว่าในระบบ
เมื่อสำรวจการใช้จ่ายด้านต่างๆ ในช่วงเปิดเทอม พบว่า กิจกรรมการใช้จ่าย 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างประชาชนฐานราก มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ คือ (1) ชุดนักเรียน/เครื่องแต่งกาย (ร้อยละ 75.1) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,575 บาท (2) ค่าเทอม/ค่าบำรุงการศึกษา (ร้อยละ 56.1) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5,470 บาท (3) ค่าอุปกรณ์การเรียน (ร้อยละ 51.3) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 895 บาท
ทั้งนี้เมื่อสอบถามเรื่องที่ ประชาชนฐานรากมีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตร/หลาน พบว่า มีเพียงร้อยละ 29.1 ที่มีความกังวล โดย 3 อันดับแรก คือ เรื่องค่าเทอม/ค่าบำรุงการศึกษา (ร้อยละ 61.5) ค่าชุดนักเรียน/เครื่องแต่งกาย (ร้อยละ 47.0) และค่าหนังสือเรียน/ตำราเรียน (ร้อยละ 23.3)
สำหรับสิ่งที่ประชาชนฐานรากต้องการความช่วยเหลือ/สนับสนุน ในอนาคต พบว่า 3 อันดับแรก คือ ทุนการศึกษา (ร้อยละ 38.5) รองลงมาคือ ค่าเทอม/ค่าบำรุงการศึกษา (ร้อยละ 21.4) และอาชีพที่รองรับเมื่อจบการศึกษา (ร้อยละ 19.1) ซึ่งเป็นความต้องการที่คล้ายกับปีที่ผ่านมา
เมื่อสอบถามถึงปัจจัยสำคัญในการเลือกโรงเรียนให้กับบุตร/หลาน พบว่า ปัจจัยสำคัญ 3 อันดับแรก ในการเลือกโรงเรียนให้บุตร/หลาน คือ 1) เลือกโรงเรียนที่มีนโยบายเรียนฟรี 2) เลือกการเดินทางสะดวก/ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานของผู้ปกครอง และ 3) เลือกเพราะมีค่าเทอม/ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก
ส่วนความคาดหวังทางการศึกษาของบุตร/หลาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมด ร้อยละ 99.4 มีความคาดหวัง 3 อันดับแรก คือ ต้องการให้บุตรหลานศึกษาต่อให้ถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้ (ร้อยละ 54.8) รองลงมาคือ ศึกษาถึงระดับปริญญา (ร้อยละ 44.5) และศึกษาระดับอาชีวศึกษา (ปวช./ปวส.) (ร้อยละ 3.3)” นายชาติชายฯ กล่าว