Project Vault คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเท่ากับ SD card ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะสำหรับป้องกันการถูกดังฟังในการติดต่อสื่อสาร และ การยืนยันตัวตนแบบไม่ใช้รหัสผ่าน
เมื่อ Google หันมาใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ณ งาน Google I/O 2015 ได้มีการเปิดตัวเจ้า Project Vault เป็นคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมากๆ หรือเท่ากับ SD card แค่นี้เอง โดยตัว Vault จะทำหน้าที่ในเรื่องของความปลอดภัย ทั้งการป้องการไม่ให้ข้อมูลการสื่อสารของเรารั่วไหล และการยืนยันตนแบบไม่ต้องใส่รหัสผ่าน ที่กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่เร็วๆนี้
Project Vault ถูกพัฒนาโดยแผนก ATAP หรือ Advanced Technology and Projects (เป็นแผนกที่เคยทำ Project ARA) ที่ได้ออกแบบมาให้มีรูปร่างเหมือน SD card โดย Vault จะมีพื้นที่เก็บข้อมูลของตัวเองอยู่ที่ 4GB ภายในก็จะประกอบไปด้วย หน่วยประมวลผล ARM ทำงานบน OS ที่ชื่อว่า ARTOS ซึ่งเป็นระบบประฏิบัติการที่เน้นในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลโดยเฉพาะ และจะมีชิป NFC กับ เสาอากาศ ฝังอยู่ข้างในด้วย
การทำงาน ตัว Vault จะมีการเข้ารหัสข้อมูล (Cryptography) ที่จะทำการเปลื่ยนข้อความปกติให้กลายเป็นข้อความลับที่จะมีตัวเลขสุ่มสลับกันไปอย่างยุ่งเหยิง ทำให้ไม่สามารถอ่านข้อมูลดังกล่าวได้ ในการทดสอบที่งาน จะมีการเอาสมาร์ทโฟนสองตัวที่ใส่เจ้า Vault เข้าไป และเอามาใส่ในเครื่อง OpenRISC1200 อีกที จากนั้นก็ทำการทดลองส่งข้อความแชทเข้าหาการกัน ผลที่ได้คือ
ข้อความแชทจะถูกแปลงเป็นรหัสลบที่ดูมั่วซั่วเต็มไปหมด ในขณะที่ตัวข้อความที่ส่งหากันว่า “Bob With love from ATAP <3” มีอยู่บรรทัดเดียว นั้นหมายความว่า ตัว Vault จะส่งข้อมูลการสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟนด้วยกันเท่านั้น อันเป็นผลมาจาก “เสาอากาศ” ที่ฝังอยู่ข้างในนี้เอง ทำให้ทางผู้ให้บริการเครือข่ายหรือผู้ไม่ประสงค์ดีอื่นๆ ไม่สามารถดักข้อมูลของเราได้เลยนั้นเองครับ
สุดท้ายนี้ ตัว Project Vault สามารถทำงานได้ทั้ง Android, Windows, OS X และ Linux ซึ่งตอนนี้ทาง Google ได้เปิด
โอกาสให้ทุกคนทดลองใช้งานด้วย โดยจะมีตัว “ชุดพัฒนาโอเพนซอร์ส” มาให้ลองใช้กันเร็วๆนี้
ทิ้งท้ายเล็กน้อย ในเรื่องของ การยืนยันตนโดยไม่ต้องใส่รหัสนั้น เคยมีผลการสำรวจจากทาง Google แล้วพบว่า มีผู้ใช้ถึงร้อยละ 70% ลืมรหัสผ่านกันทั่วหน้า จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการพัฒนาในระบบนี้นั้นเอง จนขนาดคุณ Regina Dugan ผู้ที่อธิบายเกี่ยวกับตัว Project Vault อยู่นั้น ถึงกับบอกเลยว่า “Passwords suck !!”
ที่มา : Techcrunch