จากกรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกคำสั่งคุมเข้มตรวจคนเข้าเมือง และประกาศห้ามออกวีซ่าให้กับพลเมือง 7 ประเทศมุสลิม ได้แก่ ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ซูดาน ลิเบีย โซมาเลีย และเยเมน กลายเป็นชนวนเหตุที่สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มประเทศมุสลิมและอีกหลายฝ่ายเป็นจำนวนมาก พร้อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้อพยพที่มีเชื้อสายมุสลิม 1 ใน 7 ประเทศต้องห้าม ที่ทำงานอยู่ทั้งในและนอกสหรัฐฯ ซึ่งท่าทีของหลายบริษัทในสหรัฐฯ เริ่มมีเสียงคัดค้านต่อคำสั่งดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทีล่าสุดจากบริษัทไอทีในซิลิคอน วัลเลย์ ไม่ว่าจะเป็น Google, Apple, Facebook, Microsoft, Amazon, Uber และบริษัทอื่นๆ ร่วมมือกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนในการคัดค้านคำสั่งคุมเข้มตรวจคนเข้าเมืองและการประกาศห้ามออกวีซ่าให้กับพลเมือง 7 ประเทศมุสลิม โดยเนื้อหาภายในจดหมายดังกล่าวส่วนหนึ่งระบุว่า “ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นดินแดนแห่งโอกาส เรายินดีต้อนรับผู้มาใหม่และให้พวกเขามีโอกาสในการเข้ามาประกอบอาชีพและสร้างครอบครัว สหรัฐฯเป็นประเทศที่แข็งแกร่งซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากผู้อพยพ … ที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นในระบบการตรวจคนเข้าเมืองที่จะช่วยทำให้สหรัฐฯ มีความปลอดภัย เรามีความกังวลต่อคำสั่งของคุณ (โดนัลด์ ทรัมป์) เมื่อเร็วๆ นี้ อันจะมีผลต่อผู้ถือวีซ่าจำนวนมาก หลายคนทำงานในสหรัฐฯ มาอย่างหนักและพวกเขาล้วนมีส่วนต่อความสำเร็จของประเทศนี้ เรามีความยินดีรับการเปลี่ยนแปลงในการบริหารประเทศและพร้อมสนับสนุน แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจด้วยว่าพนักงานของเราจะสามารถเดินไปพร้อมกันได้ … “ อ่านฉบับเต็มได้ทาง Recode
ขณะเดียวกันภายในจดหมายยังมีการอ้างถึงผู้อพยพถึง 750,000 ราย ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ DACA (Deferred Actions for Childhood Arrivals) ระบบการคุ้มครองเด็กจากการถูกส่งกลับประเทศแบบชั่วคราว และนำไปสู่การขอใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากพวกเขาเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวจะเสมือนเป็นการทำลายความฝันในการหาโอกาสสร้างอาชีพในสหรัฐฯ
นอกจากบริษัทไอทีในซิลิคอน วัลเลย์ ที่เริ่มออกมาเคลื่อนไหวและส่งจดหมายเปิดผนึกถึงโดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว ยังมีแนวโน้มที่บริษัทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธุรกิจการเงิน, ภาคอุตสาหกรรม และบริษัทด้านธุรกิจพลังงาน จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงจุดยืนเช่นเดียวกับบริษัทไอทีด้วย