ปีนี้นับเป็นปีแรกที่ Facebook ติดอันดับ 100 บริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง จากการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune โดย Facebook ติดอยู่ในอันดับ 10 จาก 100 บริษัท
Facebook เข้าตลาดหุ้นครั้งแรกเมื่อปี 2012 ซึ่งในขณะนั้น Facebook ยังไม่สามารถทำรายได้จาก Mobile ได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นเข้าสู่ยุคที่ใครๆก็เล่นอินเตอร์เน็ทผ่าน Mobile เป็นหลัก ทำให้นักลงทุนต่างกังวลว่า Facebook จะไม่มีอนาคตที่สดใสเท่าที่ควร แม้ว่าขณะนั้น Facebook จะมีผลกำไรที่ดี
แน่นอนว่า Facebook เองก็รู้ถึงจุดอ่อนสำคัญของตนเอง ทำให้ Facebook ทุ่มเทพัฒนาแอพพลิเคชั่นบน Mobile และพยายามอย่างมากที่จะทำให้แบรนด์ต่างๆต้องมาซื้อโฆษณากับ Facebook (อย่างที่เราเห็นๆกันว่า เดี๋ยวนี้แฟนเพจหรือแบรนด์ต่างๆต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา เพื่อให้คนมีโอกาสเห็นโพสของตัวเอง)
ความพยายามอย่างหนักในการพัฒนาด้านแอพพลิเคชั่นบน Mobile ประสบผลสำเร็จ ภายใน 3 ปีหลังเข้าตลาดหุ้น หุ้นของ Facebook เติบโตถึง 150% และมีราคาขายต่อหุ้นในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 95$ / หุ้น (ประมาณ 3,400 บาท) นั่นทำให้ Facebook ได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดของสหรัฐอเมริกาในที่สุด
ในปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Facebook เป็นประจำอยู่ที่ 1,500 ล้านคน แต่ตัวเลขการเติบโตนี้คงไม่สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อีกต่อไป เนื่องจากอุปสรรคสำคัญคือยังมีคนกลุ่มใหญ่ที่เข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ทเพราะไม่มีเงินพอที่จะเสียค่าบริการใช้งานอินเตอร์เน็ท Facebook จึงต้องพยายามเข้าถึงกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ทนี้ได้ ด้วยการดำเนินโครงการ Internet.org ที่ทำให้ผู้คนสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ทได้ “ฟรี”
นอกเหนือจากการปูทางเพื่ออนาคตข้างหน้าแล้ว ปัจจุบัน Facebook ก็พยายามที่จะขายโฆษณาที่มีราคาสูงขึ้นให้กับแบรนด์ต่างๆ นั่นก็คือโฆษณาทางวีดีโอ (Video ads) นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น Facebook ก็เริ่มที่จะหารายได้จากบริษัทอื่นๆที่บริษัทได้ซื้อเข้ามา เช่น Instagram WhatsApp เร็วๆนี้เราคงได้เห็นภาพชัดเจนถึงการสร้างรายได้จากแอพต่างๆเหล่านี้