เทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพอากาศจาก Dyson ชี้มลภาวะในฤดูหมอกส่งผลกับอัตราการสัมผัสมลพิษของคนกรุงเทพได้แม้อยู่ในบ้าน

Dyson เผยข้อมูลจากการวัดค่าคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร พบว่าบุคคลอาจได้รับปริมาณฝุ่น PM2.5
ในช่วงที่หมอกควันหนามากกว่าช่วงที่อากาศปกติถึง 9 เท่า

Dyson ได้จัดทำโครงการเพื่อสำรวจและวัดค่ามลพิษที่บุคคลได้รับในการใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่การเดินทางไปทำงานจนไปถึงนั่งพักผ่อนอยู่ภายในอาคาร พบว่าปริมาณมลภาวะที่บุคคลได้รับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหมอกควันหนาแม้จะอยู่ภายในบ้าน

โครงการนี้ได้จัดทำขึ้นในหลายเมืองทั่วโลกรวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยได้คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ คุณพ่อและดิจิทัลครีเอเตอร์ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร มาร่วมกระตุ้นการตระหนักรู้ในเรื่องสภาพมลภาวะทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการระยะยาวของ Dyson ในการให้ความรู้แก่คนทั่วไปเกี่ยวกับคุณภาพของอากาศรวมถึงสนับสนุนให้ทุกคนหันมาดูแลและควบคุมการสัมผัสกับมลภาวะของตนเอง

อเล็กซ์ น็อกซ์, รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องกรองอากาศของ Dyson กล่าวว่า “ทีมวิศวกรของเราได้พัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะขึ้นมาจากประสบการณ์และการวิจัยอย่างหนักหน่วงและยาวนานในด้านเทคโนโลยีเพื่ออากาศที่สะอาด และด้วยอัลกอริทึมที่จะมาช่วยประมวลข้อมูลมลภาวะที่ตรวจจับได้ เทคโนโลยีอันนี้ทำให้เราสามารถตรวจสอบคุณภาพอากาศได้ทั้งภายในอาคาร นอกอาคาร หรือแม้แต่ขณะกำลังเดินทาง และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือทั้งหมดนี้สามารถติดตั้งอยู่ในกระเป๋าเป้”

ในระหว่างการสำรวจคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร คุณหนุ่ย พงศ์สุข สะพายกระเป๋า Dyson Air Quality Backpack ใน 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม ปี 2563 และอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงฝุ่น PM2.5 หนาแน่นในกรุงเทพมหานคร โดยทั้งสองช่วงได้ใช้ชีวิตโดยมีพฤติกรรมเหมือนกันเพื่อนำมาเปรียบเทียบคุณภาพอากาศที่ได้รับ

คุณหนุ่ย พงศ์สุข ได้กล่าวเกี่ยวกับการร่วมงานกับ Dyson ไว้ว่า “กรุงเทพมหานครจะเผชิญกับฝุ่นและหมอกควันในช่วงหน้าหนาวของทุกๆ ปี โดยที่ค่ามลพิษในอากาศสามารถเพิ่มสูงเกินระดับปลอดภัยไปได้มากถึง 2 เท่า[1] ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก[2] ในฐานะของพ่อที่มีลูกสาวสองคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งมากๆ ความสำคัญของคุณภาพอากาศที่ครอบครัวผมหายใจเข้าไปทำให้ผมตัดสินใจร่วมโปรเจกต์นี้กับ Dyson ครับ”

Dyson Air Quality Backpack

Dyson Air Quality Backpack ได้นำเทคโนโลยีเซนเซอร์ในเครื่องฟอกอากาศของ Dyson มาพัฒนาและติดตั้งในกระเป๋าเป้ที่พกพาง่าย ทำให้สามารถวัดค่าคุณภาพอากาศได้ในขณะเดินทาง เพียบพร้อมด้วยแผงเซนเซอร์ แบตเตอรี่ และ ระบบ GPS โดยหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะทำให้ได้ข้อมูลเรื่องการสัมผัสต่อมลภาวะในอากาศของแต่ละบุคคลและนำไปสู่วิธีการหลีกเลี่ยงการสัมผัสดังกล่าว

ทีมวิศวกรของ Dyson ได้ประมวลผลข้อมูลที่ได้จากเซนเซอร์ และระบบ GPS จากกระเป๋ารวมถึงบันทึกประจำวันของคุณหนุ่ย ที่บันทึกกิจกรรมในแต่ละวันที่สะพายกระเป๋าตรวจวัดคุณภาพอากาศนี้ ซึ่งจะทำให้รู้ว่ากิจกรรมไหนส่งผลต่อคุณภาพของอากาศที่ได้รับและจะมีวิธีการหลีกเลี่ยงอย่างไรได้บ้าง

ผลการวัดค่าคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร

จากการเปรียบเทียบคุณภาพอากาศในสองช่วง ค่าฝุ่น PM2.5 ในอากาศในช่วงที่ 2 ที่เป็นช่วงฝุ่นหนาวัดค่าได้มากกว่าถึง 9 เท่า[3] โดยในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงเดือนที่มีอากาศเย็นที่ฝุ่นควัน PM2.5 หนาแน่น ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งไอเสียจากยานยนต์ สภาพอากาศ ควันจากโซนอุตสาหกรรม รวมไปถึงควันจากกิจกรรมทางการเกษตร[4]

โดยในช่วงนี้ Dyson Air Quality Backpack สามารถวัดค่า PM2.5 ระหว่างที่คุณหนุ่ยลงจากรถและเดินทางเข้าอาคารได้ว่าระดับฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงขึ้นถึง 3.8 เท่า[5] เทียบกับในรถยนต์ โดยสาเหตุมาจากการเผชิญกับระดับฝุ่นในสถานที่กลางแจ้งในช่วงฝุ่นหนาแน่น

นอกจากนั้น กิจกรรมในแต่ละวันยังส่งผลต่อการเพิ่มของค่ามลภาวะในอากาศด้วย ตัวอย่างเช่นการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ทำให้ค่า ไนโตรเจนไดออกไซด์ NO2 สูงถึง 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปกติถึง 50 เท่า ซึ่งถือเป็นคุณภาพอากาศในระดับ แย่มาก เมื่อเทียบกับดัชนีวัดค่าคุณภาพอากาศของ Dyson โดยสาเหตุการเกิดไนโตรเจนไดออกไซด์อาจจะมาจากไอเสียจากยานยนต์

และถึงแม้ขณะที่ขับรถยนต์อยู่ภายในห้องโดยสาร ก็ยังสามารถวัดค่า PM2.5 และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compound: VOCs) ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสาเหตุมาจากการเบรกรถยนต์และการสึกของยางรถยนต์ที่ถึงแม้จะอยู่ภายในห้องโดยสารก็ยังสามารถสัมผัสกับมลภาวะจากทางนี้ได้

โดยปกติแล้วคุณภาพอากาศภายนอกอาคารจะส่งผลต่ออากาศภายในอาคาร แต่ในบางกรณีสาเหตุจากมลภาวะก็มาจากภายในอาคารได้เช่นกัน โดยจากการวัดค่าด้วยกระเป๋า Dyson Air Quality Backpack ของคุณหนุ่ย พงศ์สุข พบค่าฝุ่น PM2.5 ในอากาศแม้จะอยู่ในบ้าน ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการทำอาหาร หรือแม้แต่การไหลเวียนของอากาศที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย รวมไปถึงเมื่อเปิดประตูหรือหน้าต่างทำให้อากาศภายนอกซึ่งมีฝุ่น PM2.5 ไหลเข้ามาในบ้าน

แม้ในช่วงนอนหลับ ค่ามลภาวะในอากาศก็ยังคงที่อยู่ที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและไม่ได้ลดลงในช่วง 10 ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าระดับปลอดภัยตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก[6] ถึงสองเท่า[7] ซึ่งสาเหตุเกิดจากการไหลเวียนของอากาศที่น้อยเกินไปทำให้มลภาวะเกิดการสะสมภายในบ้าน

ข้อมูลจากเครื่องกรองอากาศภายในอาคารในกรุงเทพมหานคร[8]

ข้อมูลจากเครื่องกรองอากาศแสดงให้เห็นค่าเฉลี่ยของระดับ PM2.5 ภายในอาคารในช่วงหมอกควันหนาสูงขึ้นถึงสองเท่า[9] เมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีหมอกควัน ซึ่งตรงกับการตรวจวัดค่าด้วย Dyson Air Quality Backpack  ซึ่งทำให้เห็นค่าคุณภาพอากาศที่เปลี่ยนจากระดับ “ดี” ในช่วงแรก เป็นระดับ “ปกติ” ในช่วงที่สอง

โดยหนุ่ย พงศ์สุขได้กล่าวถึงผลการสำรวจจากความร่วมมือกับ Dyson ไว้ว่า “พวกเราทราบกันอยู่แล้วนะครับเรื่องสภาวะมลพิษในอากาศ ผมคิดว่าข้อมูลจากการสำรวจครั้งนี้ทำให้เราเห็นภาพความแตกต่างระหว่างสองช่วงและช่วยให้เราตระหนักถึงปัญหานี้ในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งถ้าเรารับรู้และสามารถปรับพฤติกรรมได้ เราจะสามารถลดการสัมผัสต่อมลภาวะในอากาศไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ”

ข้อมูลเพิ่มเติม

Dyson Air Quality Backpack

  • กระเป๋าเป้วัดค่าคุณภาพอากาศริเริ่มพัฒนาโดยทีมวิศวกรของ Dyson ในการวิจัยที่ชื่อ Breathe London ที่ร่วมมือกับ Kings College London และ Greater London Authority
  • การวิจัยเข้าร่วมโดยนักเรียนจำนวน 258 คนจาก 5 โรงเรียนในกรุงลอนดอน เพื่อวัดค่ามลพิษของชนิด ได้แก่ 5 และไนโตรเจนไดออกไซด์ระหว่างทำกิจกรรมที่โรงเรียน
  • จากผลการวิจัย ทำให้นักเรียน 31% กล่าวว่าจะเปลี่ยนวิธีการเดินทางไป-กลับโรงเรียนเพื่อลดการสัมผัสกับมลพิษในอากาศ

เทคโนโลยีจาก Dyson

  • เครื่องกรองอากาศของ Dyson ใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับอนุภาค ไนโตรเจนไดออกไซด์ และ VOCs ในการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในห้อง โดยมีอัลกอริธึ่มที่ทำให้เครื่องกรองอากาศดักจับมาลพิษในอากาศและปล่อยอากาศบริสุทธิ์ไปทั่วบ้าน โดยสามารถตรวจจับและรายงานได้ทั้ง 5, PM10, VOCs, และ NO2
  • ภายใน Dyson Air Quality Backpack ติดตั้งด้วยเซนเซอร์ 3 ตัวที่ทำหน้าที่ต่างกัน โดยตัวที่หนึ่งทำหน้าที่วัดอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ ตัวที่สงอคือเซนเซอร์ก๊าซที่ตรวจจับ NO2 และ VOCs และตัวสุดท้ายใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการตรวจจับ 5 และ PM10

สารมลพิษที่พบได้ทั่วไปในเมือง

  • 5 – อนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน รวมไปถึงควัน แบคทีเรีย และฝุ่นละออง
  • PM10 – อนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เช่นละออง ฝุ่น สะเก็ดผิวหนังจากสัตว์เลี้ยง และเกสรจากพืช
  • ไนโตรเจน ไดออกไซด์ (NO2) – ก๊าซอันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้จากเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ เทียน และเตาแก๊ส
  • ซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2) – ก๊าซที่เกิดจากอุตสาหกรรมและการไอเสียรถยนต์
  • สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) – ก๊าซที่เกิดได้จากหลายแหล่ง เช่นสี น้ำยาเคลือบเงา สเปรย์ทำความสะอาด และสเปรย์ปรับอากาศ โดย VOCs เหล่านี้รวมไปถึงฟอร์มัลดีไฮด์ สารระเหยเบนซิน และเครื่องหอมภายในบ้าน

ข้อแนะนำในการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับมลพิษในอากาศ

พื้นที่สาธารณะ

  • เช็คพยากรณ์สถาพอากาศในพื้นที่ที่คุณจะเดินทางและหลีกเลี่ยงการเผชิญกับมลภาวะในอากาศกลางแจ้ง
  • หากมีสถานการณ์มลภาวะในอากาศ เช่นหมอกควันในช่วงหน้าหนาว หลีกเลี่ยงการออกนอกตัวอาคาร และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด และใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อลดมลพิษในอากาศ

ระหว่างการเดินทาง

  • เลือกเส้นทางที่การจราจรไม่หนาแน่นเพื่อลดการสัมผัสจากมลพิษที่เกิดจากยานยนต์
  • หากเดินทางในสภาพการจราจรที่หนาแน่น ปิดหน้าต่างรถยนต์ให้มิดชิด และหากมีระบบไหลเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร ให้กดใช้เพื่อลดการนำอากาศจากภายนอกเข้ามาในห้องโดยสาร

มลภาวะภายในอาคาร

  • ลดสาเหตุที่ทำให้เกิดมลภาวะเช่นเทียนหอมหรือสเปรย์ทำความสะอาดในครัวเรือน
  • หากอากาศภายนอกไม่มีมลภาวะ เปิดหน้าต่างเพื่อช่วยในการไหลเวียนของอากาศ แต่หากอากาศภายนอกมีมลภาวะให้ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด
  • ใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อลดฝุ่นละออกและก๊าซไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน

การทำอาหารภายในบ้าน

  • วิธีการประกอบอาหาร แต่เวลาที่ใช้ส่งผลต่อการสะสมของมลพิษในอากาศ
  • วางเครื่องกรองอากาศไว้บริเวณใกล้ห้องครัวเพื่อดักจับมลพิษที่เกิดจากการประกอบอาหารได้ดีขึ้น

[1] ค่าเฉลี่ยสูงสุดของฝุ่น PM2.5 ในอากาศที่ Dyson air quality backpack ตรวจวัดได้ในช่วงฝุ่นหนาเดือนมกราคา 2564 อยู่ที่ 34.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

[2] ตามข้อแนะนำล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในอากาศไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

[3] ค่าฝุ่น PM2.5 ที่วัดได้จาก Dyson Air Quality Backpack ในช่วงที่ไม่มีหมอกควัน (กรกฎาคม-ตุลาคม 2563) อยู่ที่ 3.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบกับช่วงที่มีหมอกควัน (เดือนมกราคม 2564) อยู่ที่ 30.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

[4] อ้างอิงจากรายงานของ Stockholm Environment Institute. https://cdn.sei.org/wp-content/uploads/2021/02/210212c-killeen-archer-air-quality-in-thailand-wp-2101e-final.pdf

[5] ค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ที่วัดได้ในรถยนต์อยู๋ที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและที่วัดได้กลางแจ้งก่อนเข้าอาคารอยู่ที่ 115 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

[6] ตามข้อแนะนำล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในอากาศไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ambient-(outdoor)-air-quality-and-health

[7] ค่าเฉลี่ยสูงสุดของฝุ่น PM2.5 ในอากาศที่ Dyson air quality backpack ตรวจวัดได้ในช่วงฝุ่นหนาเดือนมกราคา 2564 อยู่ที่ 34.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

[8] ข้อมูลเก็บจากเครื่องกรองอากาศของ Dyson กว่า 4,200 เครื่องในกรุงเทพมหานคร

[9] ข้อมูลเก็บจากเครื่องกรองอากาศของ Dyson กว่า 4,200 เครื่องในกรุงเทพมหานครวัดค่า PM2.5 ในช่วงไม่มีหมอกควัน (กรกฎาคม – ตุลาคม 2563) อยู่ที่ 19.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และช่วงที่มีหมอกควัน (มกราคม 2564) อยู่ที่ 41.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร