เจอตัวผู้ก่อเหตุ ระเบิดรถ Cybertruck คาดใช้ ChatGPT ช่วยวางแผน

[ใช้งานผิด] จากเหตุรถกระบะไฟฟ้า Cybertruck เกิดระเบิดที่หน้าโรงแรม Trump เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นไม่นานก็พบผู้ก่อเหตุแล้ว โดยเป็นถึงนายทหารจากหน่วยรบพิเศษ ล่าสุดมีสื่อหลายสำนักเผยผู้ก่อเหตุอาจใช้ ChatGPT ช่วยวางแผนด้วย

รายงานจาก CNN เผยผู้ก่อเหตุคือ Matthew Livelsberger ชายหนุ่มวัย 37 ปี จากโคโลราโด เป็นนายทหารจากหน่วยรบพิเศษ Green Beret ที่ได้รับเหรียญบรอนซ์สตาร์ (Bronze Star Medal) ถึง 5 สมัย และกำลังเป็นคุณพ่อมือใหม่ แต่ล่าสุดได้ก่อเหตุสลด ด้วยการระเบิดรถ Cybertruck ที่หน้าโรงแรม Trump International ในลาสเวกัส ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 7 ราย แต่ก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ซึ่งก็คือนาย Matthew ที่ได้ลั่นไกตัวเอง ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดในเวลาต่อมา

สำหรับ Matthew Livelsberger ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อปีก่อน ทางด้านอดีตแฟนสาวที่คบหาดูใจมา 4 ปีได้เผยอีกว่า Matthew เคยได้รับบาดเจ็บศีรษะจนต้องเข้ารับการผ่าตัดมาแล้ว ส่วนฉนวนก่อเหตุนั้น คาดอาจเป็นเพราะ “ความไม่พอใจทางการเมือง” จากข้อมูลบันทึกหรือ Note ที่พบในมือถือและโน้ตบุ๊กของผู้ก่อเหตุ ซึ่งมีความยาวกว่า 500 คำ หลังมีการตรวจสอบเกือบหนึ่งสัปดาห์

“ชาวอเมริกันให้ความสนใจเฉพาะการแสดงและความรุนแรงเท่านั้น” หนึ่งในประโยคที่ถูกเขียนไว้ในบันทึกดังกล่าว พร้อมพบการระบายถึงปัญหาภายในประเทศและต่างประเทศ เช่นยูเครน กับมองว่าสหรัฐฯ กำลังป่วยระยะสุดท้ายและกำลังมุ่งหน้าสู่การล่มสลาย อีกส่วนก็มีการกล่าวถึง ‘การชำระล้าง’ จิตใจตนเอง จากทั้งการสูญเสียพี่น้อง (คาดเพื่อนร่วมรบ) และเป็นการบรรเทาภาระจากชีวิตที่ตนเองได้พรากไป

ทั้งนี้ทางด้านสำนักข่าว AP รวมถึง New York Post และสื่อจากสหรัฐฯ อีกหลายสำนัก รายงานตรงกันว่า Matthew Livelsberger อาจใช้ ChatGPT ช่วยวางแผนก่อเหตุด้วย โดยใช้สอบถามว่า ต้องใช้วัตถุระเบิดเท่าใดจึงจะจุดชนวนระเบิดได้ หาความเร็วเคลื่อนที่ของกระสุนปืนบางนัด และหาข้อมูลดอกไม้ไฟถูกกฎหมายในรัฐแอริโซนา ซึ่งต่อมาถูกพบใช้เป็นตัวจุดฉนวนถังแก๊สและเชื้อเพลิงสำหรับตั้งแคมป์ภายในรถนั้นเอง

ทางด้าน OpenAI ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ผ่านอีเมลแล้ว เผยบริษัทมุ่งมั่นที่จะเห็นเครื่องมือต่าง ๆ ถูกใช้อย่าง “มีความรับผิดชอบ” และได้รับการออกแบบมาให้ปฏิเสธคำสั่งที่ดูเป็นอันตรายอยู่แล้ว

ที่มา : CNN , NYpost