ที่ผ่านมา แฮกเกอร์ส่วนใหญ่มักกำหนดเป้าหมายกับนักลงทุนรายใหญ่หรือการแลกเปลี่ยน crypto ของสถาบันการเงินต่าง ๆ
.
แต่เนื่องจากปัจจุบัน cryptocurrencies อย่าง Bitcoin กลายเป็นกระแสเงินดิจิทัลหลักที่ผู้คนหันมาสนใจมากขึ้น แฮ็กเกอร์เหล่านี้จึงเริ่มกำหนดเป้าหมายไปยังนักลงทุนรายย่อยแทน โดยพวกเขาแฮ็คคนแบบสุ่มผ่านการสลับซิมหรือเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์จากอุปกรณ์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จากนั้นพวกเขาเข้าถึงบัญชี crypto บนแพลตฟอร์มการซื้อขายเช่น Binance และล้างบัญชีของนักลงทุนทิ้ง
.
ตามบทความของ Wall Street Journal (WSJ) หนึ่งในนักลงทุนรายย่อยที่ถูกแฮ็กคือ Rosa Maguina เทอมีอายุ 53 ปี เมื่อต้นปีนี้ Maguina ได้ใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่ของเธอไปกับการลงทุน Bitcoin แต่น่าเสียดายที่เธอสูญเสียเงินไปหลังจากที่แฮ็กเกอร์ขโมยหมายเลขโทรศัพท์ของเธอไปเพียงสองชั่วโมง
.
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม เมื่อเธอกำลังจะนอน แต่สังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของเธอขาดสัญญาณ และเมื่อกู้คืนสัญญาณกลับมาได้ มันก็สายไป เพราะแฮกเกอร์ได้เปลี่ยนรหัสผ่าน Binance และ Coinbase ของเธอ จากนั้นพวกเขาล้างบัญชีคริปโตของเธอซึ่งมีมูลค่าประมาณ 80,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น
.
บางคนก็อาจสงสัยว่า ทำไมแฮกเกอร์ถึงไม่ขโมยเงินของเธอไป แต่กลับล้างบัญชีทิ้งเหมือนเป็นการทำลายซะมากกว่าครับ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน
.
การโจมตีเหล่านี้ทำให้นักลงทุนไม่พอใจบริษัทโทรศัพท์มือถือของตนอย่างมาก เพื่อเป็นการตอบโต้ และเพื่อเป็นการตอบโต้ปัญหาดังกล่าว บริษัทโทรคมนาคมกำลังมองหาวิธีที่จะทำให้เกิดมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น
.
แฮกเกอร์ใช้วิธีนี้เพื่อแอบอ้างเป็นผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยข้อมูลบัญชีหรือข้อมูลส่วนบุคคลประเภทต่าง ๆ ของเหยื่อ ทำให้พวกเขาจะสามารถเข้าถึงบัญชีการเงินหรือโซเชียลมีเดียของเหยื่อได้ ซึ่งอันนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในประเทศไทยนะ ที่ลูกค้ารายหนึ่งโดนสวมสิทธิ์ทำซิมใหม่ และก็ล็อคอินเข้า Wallet และขโมยเงินออกไป
.
ทีนี้ จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีใครโดนสวมสิทธิ์ทำซิมใหม่อยู่อีกไหม แต่ถึงไม่ ผมก็เชื่อว่าแฮกเกอร์ก็จะพยายามหาช่องโหว่ที่จะขโมยเงินจากกระเป๋าทุกคนอยู่ดี ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินจริง หรือเงินดิจิทัล อย่าให้ข้อมูลใด ๆ กับคนแปลกหน้าครับ เพราะข้อมูลเหล่านั้น อาจย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ในอนาคต
.
ที่มาข้อมูล
