iOS

นี่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คนสนใจมาเล่น Android กันเยอะ ด้วยความที่มี App ฟรีที่คุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานอย่างถูกกฎหมาย ไม่ต้อง Root ไม่ต้องปรับแต่งแก้ไขเครื่องใดๆ โดยเฉพาะเกมยอดฮิตอย่าง Angry Bird ซึ่งในเวอร์ชันบน Android จะเป็นเวอร์ชันเต็ม แถมยังมีให้เล่นถึง 3 ภาค ซึ่งถ้าเป็นใน iOS คุณต้องซื้อเท่านั้น (หรือไม่งั้นก็หาวิธีอื่นเอาเอง)

Instagram จัดได้ว่าเป็น App ที่โด่งดังมากบน iOS เพราะสามารถตกแต่งรูปที่คุณถ่ายไว้ เนรมิตให้สวยงามและแชร์ให้เพื่อนได้ชื่นชมกันผ่านทาง Social Network แต่ก็ต้องยอมรับว่า App นี้มีให้เฉพาะคนใช้ iOS เท่านั้น ส่วนสาวก Android ต้องนั่งน้ำลายหกกันไปก่อน

หากจะนับความสามารถในการมีอุปกรณ์ของทั้งสองค่ายแล้ว ในมุมของสมาร์ตโฟนจาก Apple มีราคาเริ่มต้นที่ 2 หมื่นกว่าบาท ในขณะที่ Android นั้นมีรุ่นตั้งแต่ราคา 3 พันกว่าบาทให้เลือกซื้อจนไปถึง 2 หมื่นกว่า แม้ว่าสเปกของรุ่นที่ราคาถูกจะไม่ค่อยเวิร์กเพราะซีพียูช้า แรมน้อย ให้พื้นที่เก็บข้อมูลน้อย จอเล็ก ความละเอียดต่ำ วัสดุตัวเครื่องไม่ดี และอีกหลายๆ ข้อที่ไม่ได้ทำให้ดูน่าซื้อขึ้นเลย แต่อย่างน้อยมันก็แปลว่า แค่คุณมีเงิน 3 พันกว่าบาทก็สามารถซื้อสมาร์ตโฟนแบบ Android มาใช้งานได้แล้ว ดีกว่าไปซื้อแค่ฟีเจอร์โฟนทั่วไป

ถ้าไม่นับเรื่องของ Gmail แล้ว ระบบอีเมล์ ซึ่งก็คือ App E-Mail ของทั้ง Android และ iOS นั้นเมื่อเทียบกันแล้วทางฝั่งของ Android ดูจะใช้งานได้ดีกว่า ตั้งแต่เรื่องของการตั้งค่าที่เปิดโอกาสให้ตั้งค่า รองรับระบบอีเมล์ที่มีความหลากหลายได้มากกว่า

Adobe Flash Plug-in เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเข้าเว็บหลายๆ แห่ง เพราะเทคโนโลยี Flash ถูกนำไปใช้ในการสร้าง Animation ลูกเล่น และวิดีโอ กันอย่างแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน HTML5 จะเข้ามาเป็นมาตรฐานแทน แต่เว็บที่ยังคงใช้ Flash อยู่ก็ยังมีอยู่มาก ดังนั้นอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Flash เลยก็จะพบกับปัญหาในการใช้งานได้บ่อยๆ

หากคุณเคยใช้ iPhone หรือ iPad คงจะเคยสัมผัสกับความลำบากที่จะถ่ายโอนไฟล์อะไรก็จำเป็นต้องใช้ iTune ในการเชื่อมต่อ แถมการตั้งค่า Sync ไฟล์ หรือ App ในเครื่อง ก็ยังต้องผูกติดอยู่กับเครื่องของใครของมันอีก หากคุณนำอุปกรณ์ไปต่อกับคอมพิวเตอร์ที่มี iTune แล้วเผลอกด Sync ล่ะก็งานเข้าแน่ๆ หรือถ้าเอาไปต่อกับคอมพ์เครื่องอื่นที่ไม่มี iTune ก็แทบจะไม่สามารถถ่ายโอนข้อมูลอะไรได้เลย

iPhone และ iPad ถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่มีข้อจำกัดเยอะมากโดยเฉพาะในเรี่องของหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูล โดยมีขนาดให้เลือกขั้นต่ำที่ 16GB และไม่สามารถใส่การ์ดใดๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้เลย วิธีแก้ไขทางเดียวก็คือการอัพเกรดไปซื้อรุ่นที่แพงขึ้นคือ 32GB และ 64GB แต่มันคุ้มแล้วเหรอกับเงินที่ต้องเพิ่มเข้าไป

ทางเลือกในการเปิดไฟล์นั้นมีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นไฟล์เพลง ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เอกสาร โดยเฉพาะใครที่ชอบลง App ไว้ในเครื่องเยอะๆ และ App แต่ละตัวก็สามารถรองรับไฟล์ประเภทเดียวกันได้ด้วย การเลือกเปิดไฟล์ของคุณ อาจจะเลือก App ที่คุณถนัดที่สุดมาเปิดไฟล์เหล่านั้น เช่น ไฟล์วิดีโอที่เป็น DVD-Rip อาจจะชอบดูด้วยโปรแกรมดูหนังตัวหนึ่งเพราะแสดง Subtitle ได้ดีกว่า ในขณะที่ซีรีส์เกาหลีอาจจะชอบใช้อีกตัวเพราะสามารถกำหนด Playlist ได้ดี

ถ้าเทียบการใช้งานระหว่าง Android และ iOS ที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ปุ่ม” เพราะ iOS จะมีปุ่มมาให้คุณใช้งานอยู่เพียงแค่ปุ่มเดียว นั่นคือปุ่ม Home ในขณะที่ Android จะมีมาให้ถึง 3-4 ปุ่ม โดยปุ่มหลักๆ ก็คือ Home, Menu และ Back (อาจจะมีปุ่ม Search เพิ่มขึ้นมา) ทั้งนี้ไม่นับรวมปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม Power ที่มีเหมือนกันหมดอยู่แล้ว

เป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงมากกับอาการกั๊กของ Apple ที่ไม่ยอมให้ Siri ทำงานบนอุปกรณ์ตกรุ่นอย่าง iPhone 3GS และ 4 รวมจนถึง iPad2 ด้วย หรือแม้แต่ The New iPad ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน Siri เลย ซึ่งเจ้า Siri นี้เป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะที่ใครๆ ก็อยากใช้ อยากสัมผัส