https://www.aboutamazon.com/news/aws/aws-re-invent-2021-what-you-need-to-know
เมื่อวันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2021 Adam Selipsky ซีอีโอของ Amazon Web Services ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์บนเวที AWS re:Invent ที่เน้นย้ำว่า AWS ยังคงเป็นผู้ให้บริการด้านคลาวด์ที่มีบริการ และคุณสมบัติต่างๆ ที่หลากหลาย และมีเชิงลึกที่สุด และมุ่งมั่นที่จะทำให้เทคโนโลยีคลาวด์ สามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง และใช้งานได้ง่ายขึ้น อดัมได้กล่าวว่าปีนี้เป็นปีครบรอบ 15 ปีของ AWS ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าหลายร้านรายจากทุกอุตสาหกรรม ทุก ๆ การใช้งาน และพาร์ทเนอร์กว่า 100,000 ทั่วโลก และคลาวด์ไม่ได้เป็นแค่เพียงเทคโนโลยีใหม่อีกต่อไป แต่กลายมาเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง เป็นจุดเปลี่ยนในการดำเนินการธุกิจ ซึ่งในปีนี้อดัมได้ประกาศบริการใหม่จาก AWS ถึงหกบริการ ที่จะช่วยให้หน่วยงานธุรกิจและภาครัฐ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไอที สร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า รวมทั้งสามารถนำเอาข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจที่ดีขึ้น
อินสแตนซ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยชิปที่ออกแบบโดย AWS ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
อินสแตนซ์ Amazon EC2 ใหม่ 3 ตัว (เซิร์ฟเวอร์เสมือนที่เลียนแบบการทํางานของเซิร์ฟเวอร์จริง) ที่ขับเคลื่อนด้วยชิปใหม่ที่ออกแบบโดย AWS ได้แก่ AWS Graviton 3, AWS Trainium และ AWS Nitro SSD ที่จะช่วยลูกค้า ดังนี้
- ปรับปรุงประสิทธิภาพ ต้นทุน และประสิทธิภาพการใช้พลังงานของปริมาณงานที่ทํางานบน EC2 อย่างมีนัยสําคัญ
- เร่งเวลาที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งในราคาที่ต่ำลง
- มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลที่ดีที่สุดสําหรับปริมาณงานที่มีข้อมูลขนาดใหญ่
ทําให้ง่ายต่อการย้ายออกจากเมนเฟรม
เทคโนโลยี เมนเฟรม หรือ ที่บางครั้งถูกเรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่บริษัทขนาดใหญ่มักใช้สําหรับการใช้งานที่สําคัญ เช่น การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลลูกค้าจํานวนมาก ที่ถูกนํามาใช้นานหลายทศวรรษในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ธนาคารและการดูแลสุขภาพ แต่ก็มีความซับซ้อน มีราคาแพง และยากในการปรับขนาด ซึ่งยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่าแอปพลิเคชันที่เขียนขึ้นสําหรับเมนเฟรมนั้นจัดการได้ยากมากขึ้น เนื่องจากวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีนี้ที่ล้าสมัยมีจํานวนน้อยลง หลายองค์กรต้องการปรับปรุงระบบให้ทันสมัยและย้ายจากเมนเฟรมไปยังระบบคลาวด์ แต่ถูกรั้งไว้เนื่องจากความซับซ้อนและกระบวนการที่ใช้เวลานาน นั่นคือเหตุผลที่ AWS Mainframe Modernization บริการใหม่ที่ทำให้การย้ายปริมาณงานของเมนเฟรมไปยังระบบคลาวด์ทำได้เร็วและง่ายขึ้น และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบริการใหม่นี้คือสิ่งสำคัญสําหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว
การตั้งค่าเครือข่าย 5G ส่วนตัวด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง
มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ที่มีความต้องการรวบรวม วิเคราะห์ และถ่ายโอนข้อมูลจํานวนมหาศาลจากเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ในการทำงาน และหลาย ๆ บริษัทต้องการใช้เทคโนโลยีเซลลูลาร์ เช่น 5G เพื่อช่วยในการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งข้อดีของ 5G คือช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น และถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างคุ้มค่าและยืดหยุ่นกว่าเทคโนโลยีเครือข่ายแบบมีสายและไร้สายในปัจจุบัน แต่ปัญหาคือโดยทั่วไปแล้ว การสร้างเครือข่าย 5G ส่วนตัวต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์และในเวลาที่จํากัด ซึ่ง AWS Private 5G สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งเหล่านั้น และจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถตั้งค่าเครือข่าย 5G ส่วนตัวในบริษัทของตนเองได้ในเวลาไม่กี่วันแทนที่จะเป็นเดือน ลูกค้าสามารถระบุพื้นที่ที่ต้องการครอบคลุม พร้อมกับปริมาณการรับส่งข้อมูลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนเครือข่ายได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ AWS ที่จะทำทุกสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากการใช้งานเครือข่าย นั่นหมายถึงลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อ ติดตั้ง หรือบํารุงรักษาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากผู้ให้บริการหลายราย
ความสามารถที่เหมาะสมสําหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อคุณต้องการ
ลูกค้า AWS จํานวนมากทําการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยใช้บริการด้านการวิเคราะห์ที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ของบริษัทที่มีความหลากหลาย สิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยการเปิดตัวบริการด้านการวิเคราะห์แบบเซิร์ฟเวอร์เลส (serverless) 3 เวอร์ชันยอดนิยมของ AWS ในวันนี้ ได้แก่ Amazon RedShift, Amazon MSK และ Amazon EMR สิ่งนี้หมายความว่าลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ยา การเล่นเกม ไปจนถึงบริการทางการเงิน และอื่น ๆ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในวงกว้างโดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องตั้งค่าและจัดการโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ เพื่อรองรับ ตัวเลือกแบบไร้เซิร์ฟเวอร์จะเพิ่มหรือลดทรัพยากรโดยอัตโนมัติในทันทีเพื่อให้มีความสามารถในการวิเคราะห์ในปริมาณที่เหมาะสมเมื่อลูกค้าต้องการ
เทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองและวัตถุเสมือน (digital twins) ที่สามารถเปลี่ยนการดําเนินงานในอุตสาหกรรม
AWS IoT TwinMaker บริการที่จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้าง digital twin ของอาคาร โรงงาน อุปกรณ์อุตสาหกรรม สายการผลิต และระบบทางกายภาพอื่น ๆ ได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น ซึ่งช่วยให้บริษัททำสิ่งต่าง ๆ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มผลผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ รวมถึงตอบสนองได้รวดเร็วและแม่นยํายิ่งขึ้นเมื่อเกิดปัญหา ตัวอย่างเช่น โรงงานแปรรูปโลหะที่มีเตาหลอมเหล็กที่เผาไหม้ได้ถึง 2,000 องศาฟาเรนไฮต์ หากคุณสามารถตรวจจับความผิดปกติในเตาหลอมนั้นก่อนที่จะมีปัญหา มันจะเปลี่ยนวิธีการดำเนินการของคุณได้อย่างมาก โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย การซ่อมบำรุงเชิงรุกที่ใช้เทคโนโลยีในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้ด้วยการใช้ ‘digital twin’ หรือเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองและวัตถุเสมือน 3 มิติของโรงงาน (หรือระบบทางกายภาพอื่น ๆ) ดึงข้อมูลจากเซ็นเซอร์อุปกรณ์ของโรงงาน และรวมเข้ากับวิดีโอของเครื่องจักรต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากข่าวประชาสัมพันธ์
ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สร้างรถยนต์ที่ดีขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น
AWS IoT FleetWise เป็นบริการใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถรวบรวมและถ่ายโอนข้อมูลของรถยนต์ไปยังระบบคลาวด์ในเวลาที่เกือบเรียลไทม์ได้อย่างง่ายดายและคุ้มค่ามากขึ้น ทําไมเรื่องนี้ถึงสําคัญ? ผู้ผลิตได้รวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ยานพาหนะมาตรฐานมาหลายปีเพื่อปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยของยานพาหนะ แต่เมื่อเซ็นเซอร์เหล่านี้ก้าวหน้าขึ้น พวกเขาก็สร้างข้อมูลมากขึ้นเช่นกัน เซ็นเซอร์ในปัจจุบันสามารถผลิตข้อมูลได้มากถึงสองเทราไบต์ต่อชั่วโมงต่อรถหนึ่งคัน (เทียบเท่ากับภาพยนตร์ความยาว 1,000 ชั่วโมงโดยประมาณ) ทำให้ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนข้อมูลไปยังระบบคลาวด์มีราคาแพงมาก AWS IoT FleetWise จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลจากยานพาหนะ โดยไม่คำนึงถึงยี่ห้อหรือรุ่น และสร้างมาตรฐานสําหรับการวิเคราะห์ในระบบคลาวด์ เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งนี้จะช่วยพวกเขาในการวินิจฉัยปัญหาในรถยนต์แต่ละคัน วิเคราะห์สภาพของยานพาหนะ เพื่อช่วยป้องกันปัญหาการเรียกคืนหรือปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น และใช้การวิเคราะห์และแมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การขับขี่อัตโนมัติ
ฟิล เดวิส กรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาคของ AWS ในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (Phil Davis, Regional Managing Director for AWS in Asia Pacific and Japan) กล่าวว่า “การเปิดตัวในวันนี้เป็นการตอกย้ำความต่อเนื่องของนวัตกรรมของเราในการช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า เรามุ่งเน้นที่การช่วยเหลือลูกค้าทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นให้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ให้พวกเขาสามารถสร้างโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมเพื่อการชีวิตและปกป้องโลกของเรา ในขณะที่เรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งการวิเคราะห์ข้อมูลและแมชชีนเลิร์นนิ่ง AWS จะยังคงผลักดันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบคลาวด์ได้ ด้วยการเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ และทักษะด้านดิจิทัลที่เหมาะสม เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ของลูกค้า ทำให้ทุกคนสามารถใช้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ได้”