Apple เปิดตัว iPhone 16 Series ยกระดับประสบการณ์ด้วยชิป A18, กล้องสุดล้ำ และ Apple Intelligence ช่วยให้เข้าถึงการใช้ AI แบบส่วนตัว
iPhone 16 และ 16 Plus มาพร้อมชิป A18 ที่ทรงพลัง, หน้าจอ Super Retina XDR ที่สว่างสดใส, และกระจก Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ iPhone 16 Pro และ 16 Pro Max ยกระดับการถ่ายภาพและวิดีโอด้วยปุ่ม Camera Control ชิป A18 Pro, กล้อง 3 ตัว, และฟีเจอร์ระดับโปร ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วย iOS 18 และ Apple Intelligence ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น
เริ่มต้นกันที่ iPhone 16 รุ่นใหม่ทั้ง 4 รุ่น
iPhone 16 และ 16 Plus
- มาพร้อมชิปรุ่นใหม่ ชิปประมวลผล A18 ข้ามจาก A16 Bionic ไปสองรุ่น มาพร้อมเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร (Gen 2) มี CPU 6-core กับ GPU 5-core และ Neural Engine 16-core
- A18 มีประสิทธิภาพ CPU เร็วขึ้น 30% แต่ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม และ GPU ก็เร็วขึ้น 40% ทำให้ช่วยประมวลผล Ray Tracing ได้ดีขึ้น ส่วนชิป Neural Engine เร็วขึ้น 2 เท่า เพื่อประมวลผล AI ของ Apple Intelligence โดยเฉพาะ
- ชิปดังกล่าว สามารถเล่นเกม Triple A ได้แล้ว โดยเบื้องต้น ก็จะมีเกม Resident Evil 7 Biohazard และ Assassin’s Creed: Mirage
- Super Retina XDR มีความสว่างสูงสุด 2,000 นิต ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในแสงแดดจ้า
- กระจก Ceramic Shield แข็งแรงขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนและการแตกได้ดีขึ้น
- มาพร้อม iOS 18
ต่อมา พี่ใหญ่ในซีรีย์นี้ iPhone 16 Pro และ 16 Pro Max
- ชิป A18 Pro มี CPU 6-core และ GPU 6-Core (A18 มี 5-Core) และมีสัญญาณนาฬิกาที่สูงกว่า ทำให้เล่นเกมได้ดีขึ้น มี Neural Engine 16-core โดยรวมชิป CPU เร็วขึ้น 15% กับประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% และชิป GPU เร็วขึ้นอีก 20%
- รองรับ Ray Tracing แบบเร่งด้วยฮาร์ดแวร์ มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเข้ารหัสและถอดรหัสวิดีโอ ProRes, การแสดงผล ProMotion ที่ปรับอัตรารีเฟรชได้สูงสุด 120Hz
พี่ใหญ่ทั้งสองรุ่น จะเน้นไปที่เรื่องของกล้อง
- สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 120 fps สามารถใช้ slow-motion ที่เลือกระหว่าง 120, 60, 30 และ 24 fps
- ไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอ โดยมีโหมด Audio Mix ช่วยจัดการบันทึกเสียงได้แบบโปร
- ปุ่มควบคุมกล้องอัจฉริยะ Camera Control กับกลไลในการกดหลายแบบ เช่น กดค้างหรือถ่ายวิดีโอ หรือแตะแล้วเลื่อนเบา ๆ เพื่อควบคุมการซูมหรือปรับค่าต่าง ๆ
- กล้องหลัง 3 ตัวเช่นเคย แบ่งเป็นกล้องหลัก 48MP F/1.78+ กล้อง Ultra Wide 48MP F/2.2 + กล้องซูม 12MP Tele 5x F/2.8
- โหมดถ่ายภาพและวีดีโอใหม่ ปรับสีและเงาแบบ Realtime เพื่อความโปร
- มาพร้อม iOS 18
ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมปุ่มควบคุมกล้องอัจฉริยะ Camera Control กับกลไลในการกดหลายแบบ เช่น กดค้างหรือถ่ายวิดีโอ หรือแตะแล้วเลื่อนเบา ๆ เพื่อควบคุมการซูมหรือปรับค่าต่าง ๆ ได้แบบไม่ต้องใช้หน้าจอเหมือนเมื่อก่อน
ชิป 3 นาโนเมตร คืออะไร?
ชิป 3 นาโนเมตร เป็นชิปประมวลผลที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ซึ่งมีขนาดทรานซิสเตอร์เล็กเพียง 3 นาโนเมตร (nm) เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้นในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น และมีขนาดเล็กลง และต้องยอมรับว่า Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในชิปของตนเอง และะคาดว่าจะใช้เทคโนโลยีต่อไปในในอนาคต 3-4 รุ่นครับ
โดยก่อนหน้านี้ Apple ได้เปิดตัวชิปที่ใช้เทคโนโลยี 3 นาโนเมตรที่ใช้ใน iPhone มาแล้ว 1 รุ่นคือ A17 Pro ใช้ใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max และครั้งนี้คือ Gen 2 และ Apple ก็ใจป้ำนะ ที่ใช้ชิป A18 มาใน iPhone 16 และ 16 Plus ด้วย
สำหรับ Apple Intelligence คือ แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดย Apple เปิดตัวในงาน WWDC 2024 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รองรับการใช้งานบน iOS 18 หลัก ๆ ก็คือ จะทำให้ Siri ฉลาดขึ้นและเข้าใจคำสั่งของเราได้ดีขึ้นด้วยความสามารถในการประมวลผลภาษา โดยจะเน้นการประมวลผลแบบ On Device เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้ ดังนั้นชิป A18 จึงมาพร้อมกับชิป Neural Engine ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
ต่อกันที่ Apple Watch Series 10
- มาพร้อมชิปรุ่นใหม่ S10 SiP
- ใช้วัสดุ Titanium Grade 5 เบาขึ้น 10%
- แบตอยู่ได้นานขึ้น 18 ชั่วโมง
- มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Possible Sleep Apnea ตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ รวมถึงตรวจจับความผิดปกติของการหายใจด้วย
สำหรับ Possible Sleep Apnea มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่นอนกรน โดยจะใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ ในการตรวจจับรูปแบบการหายใจของเรา ขณะนอนหลับ จากนั้นจะประเมินข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เช่น การหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ หรือการหายใจตื้น และหาก Apple Watch ตรวจพบสัญญาณเหล่านี้บ่อยครั้ง ก็จะแจ้งเตือนให้เรารู้ และเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ครับ
สำหรับ ชิป S10 SiP มาพร้อมโปรเซสเซอร์แบบ Dual-core 64 บิต และ Neural Engine แบบ 4-core ซึ่งทำให้ Apple Watch Series 10 ทำงานได้เร็วขึ้น และยังซัพพอร์ตกับฟีเจอร์ใหม่ข้างต้น และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในอนาคต แน่นอนว่า มันประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังมีรุ่น Apple Watch ในรุ่น Ultra 2 ที่สเปคโดยรวมไม่ต่างกับ Series 10 มากนัก แต่ได้ หน้าจอที่ใหญ่กว่า ความอึดแบตเตอรี่ที่มากกว่า ซึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 36 ชั่วโมง และ ในโหมดประหยัดแบต อยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมงเลยทีเดียว
และแน่นอนว่า ใน Apple Watch Ultra 2 ก็จะพร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับนักเดินป่า หรือคนที่ชอบท่องเที่ยว ทั้ง การตรวจจับการล้ม การตรวจจับการชน ซึ่งจะสามารถติดต่อบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ มีระบบ GPS ความถี่คู่ ช่วยเพิ่มความแม่นยำ แอปเข็มทิศจะบันทึกตำแหน่งที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ช่วยให้เราหาจุดที่สามารถโทรออกหรือส่งข้อความได้หากจำเป็น มีเสียงไซเรน เป็นเสียงเตือนดังที่มีความถี่สูง ซึ่งสามารถได้ยินได้ในระยะไกล ใช้ได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ
โดยส่วนตัวมองว่า สำหรับ Apple Watch นั้นค่อนข้างว้าวนะครับ ฟีเจอร์อย่างการติดตามการนอนหลับนั้นจำเป็นสำหรับคนที่นอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจ ซึ่งบางคนนั้นแทบไม่รู้ตัวเลย อันนี้ชอบมาก แต่สำหรับ iPhone 16 Series ส่วนตัวยังมองว่ายังไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ ดีไซน์ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ฟีเจอร์อะไรใหม่มากมาย ยังดีที่มี Apple Intelligence เพิ่มเข้ามา นอกจากนั้น ก็เป็นเพียงการเพิ่มความแรงของชิปตามเสต็ปเดิม ๆ ของ Apple ครับ
ราคาจำหน่ายและวันวางขาย
– Apple iPhone 16 รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 29,900 บาท
– Apple iPhone 16 Plus รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 34,900 บาท
– Apple iPhone 16 Pro รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 39,900 บาท
– Apple iPhone 16 Pro Max รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 48,900 บาท
ทั้งหมด สามารถสั่งซื้อล่วงหน้า 13 กันยายน และเริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายนนี้
– Apple Watch Series 10 รุ่น GPS ราคา 14,900 บาท
– Apple Watch Series 10 รุ่น GPS + Cellular ราคา 18,900 บาท
– Apple Watch Series 10 รุ่น Titanium + GPS + Cellular ราคา 25,900 บาท
เริ่มจัดส่งในวันที่ 20 กันยายน (ส่วนในไทยเร็ว ๆ นี้)
– Apple Watch Ultra 2 รุ่น GPS + Cellular เปิดราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท
เริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายน