อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เผยแผนงานกลยุทธ์ด้านธุรกิจระหว่างประเทศล่าสุด ในงาน Alibaba Cloud Summit ประจำปี 2022 โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้กับองค์กร รวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั่วโลกด้วยเงินลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และการยกระดับบริการลูกค้าในด้านต่าง ๆ เพื่อให้การสนับสนุนอย่างครอบคลุมตลอดเส้นทางที่ลูกค้าปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินธุรกิจให้เป็นดิจิทัล
ดร. ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานโครงการพิเศษและศูนย์พัฒนาดิจิทัลและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม 4.0 ที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากระบบดิจิทัลและข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้เราเห็นทั้งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลายด้าน รวมไปถึงปริมาณข้อมูล การขยายตัวของระบบนิเวศอัจฉริยะ และการทำธุรกรรมออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรากำลังพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถ รวมไปถึงความก้าวหน้าทางดิจิทัล ก็มีความท้าทายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน อาทิ การขาดแคลนแรงงานด้านดิจิทัล และผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างอาลีบาบา คลาวด์ ที่ได้ให้คำมั่นในการเข้ามามีส่วนสนับสนุนในการใช้เทคโนโลยีจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ในเวลานี้”
ขับเคลื่อนนวัตกรรมต่าง ๆ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เชื่อถือได้
ระหว่างงาน Alibaba Cloud Summit ประจำปี 2022 นี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้ลงนามข้อตกลงเกือบ 30 ฉบับ เพื่อช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งชั้นนำเพื่อเร่งขีดความสามารถด้านนวัตกรรมดิจิทัลของตน ตัวอย่างความร่วมมือ – อาลีบาบา คลาวด์ ร่วมมือกับ MetaverseXR ซึ่งเป็นบริษัทด้านเมตาเวิร์สชั้นนำของไทย เปิดตัวโซลูชันด้านเมตาเวิร์สครบวงจรสำหรับตลาดไทย เพื่อเติมเต็มความต้องการใช้ web3.0 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศ นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้ร่วมมือกับ True IDC ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ชั้นนำ มุ่งมั่นใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลให้กับธุรกิจไทย และขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย (TFA) เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัปและผู้ประกอบการด้านฟินเทคต่าง ๆ ในประเทศ ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกและเทคโนโลยีล่าสุดสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลให้กับบริษัทเหล่านี้
นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เราเน้นย้ำพันธสัญญาของเราต่อตลาดไทย ด้วยการขยายระบบนิเวศด้านพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การสนับสนุนลูกค้าของเรา เราขอขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรไทยที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนตลอดมา เราจะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรม และนำเทคโนโลยีโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงมาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของลูกค้าและพันธมิตรไทย”
นายธีรพันธุ์ เจริญศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ทรู ไอดีซี กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่า การเป็นพันธมิตรกับอาลีบาบา คลาวด์ จะช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีได้กว้างไกลมากขึ้น อาลีบาบา คลาวด์ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุดของโลก เราจึงมั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้ รวมถึงประสบการณ์ด้านองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญพิเศษของเรา จะช่วยเร่งให้ประเทศไทยเดินไปบนเส้นทางดิจิทัลได้เร็วขึ้น”
เน้นประโยชน์ที่พันธมิตรจะได้รับ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุม
กลยุทธ์ด้านระบบนิเวศที่ปรับใหม่นี้ อาลีบาบา คลาวด์ ประกาศความมุ่งมั่นใช้งบประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้กับพันธมิตร และสนับสนุนพันธมิตรให้ขยายตลาดด้วยเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ ภายในระยะเวลาสามปีงบประมาณ การลงทุนนี้ประกอบด้วยรางวัลทั้งที่เป็นตัวเงินและที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การให้เงินทุน การให้เงินคืน และความคิดริเริ่มในการนำเสนอสินค้าและบริการออกสู่ตลาด (go-to-market) อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ออกโปรแกรม “Regional Accelerator” เพื่อเร่งสร้างการเติบโตให้กับพันธมิตร โดยให้พันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจในตลาดที่แตกต่างกันได้ปรับรูปแบบการทำธุรกิจร่วมกันให้เหมาะกับตลาดในแต่ละท้องถิ่น รูปแบบนี้ได้รับการออกแบบโดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับความเข้าใจทางเทคโนโลยีของตลาด การเจาะตลาดเฉพาะทาง ความต้องการด้านดิจิทัล และความต้องการทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้และส่งเสริมความเชี่ยวชาญทางเทคนิคให้กับพันธมิตร ระบบนิเวศด้านพันธมิตรของอาลีบาบา คลาวด์ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากโปรแกรมนี้ ประกอบด้วย ผู้ค้าปลีก พันธมิตรทางเทคโนโลยี (ISV, SaaS และ SI) และพันธมิตรด้านการให้บริการและคำปรึกษา
คุณเซลิน่า หยวน ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “อาลีบาบา คลาวด์ ให้ความสำคัญกับพันธมิตรเสมอมา เรามุ่งมั่นให้การสนับสนุนพันธมิตรอย่างแข็งขัน เพื่อร่วมกันสร้างคุณค่าทั้งในแง่ของเทคโนโลยี และในเชิงธุรกิจ เพื่อเสริมขีดความสามารถให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมของเรา กลยุทธ์ด้านพันธมิตรที่ปรับใหม่ของเรานี้ ให้ความสำคัญกับการเติบโตของพันธมิตร ด้วยการให้การสนับสนุนการขยายธุรกิจของพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถสร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรและลูกค้าได้” เพื่อจัดการกับความซับซ้อนต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศให้กับพันธมิตร อาลีบาบา คลาวด์ ได้พัฒนารูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มที่พัฒนา ผลิต และจำหน่ายซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (ISV) โดยเน้นความสำคัญในการยกระดับความร่วมมือในอุตสาหกรรม กำหนดมาตรฐานกระบวนการส่งสินค้าและบริการออกสู่ตลาด และเร่งกระบวนการทางเทคนิคในการผสมผสานโซลูชันเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน อาลีบาบา คลาวด์ หวังว่าจะสรรหาพันธมิตรกลุ่ม ISV ที่ดูแลบริการด้านการเงิน ค้าปลีก อินเทอร์เน็ต และการผลิต มากขึ้นในอนาคต เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และสนับสนุนด้านนวัตกรรมให้กับลูกค้า ปัจจุบันอาลีบาบา คลาวด์ทำงานกับพันธมิตรราว 11,000 รายทั่วโลก เช่น Salesforce, VMware, Fortinet, IBM และ Neo4j
เสริมศักยภาพให้ลูกค้า ด้วยการสนับสนุนที่ครอบคลุมครบทุกความต้องการ
อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัวโปรแกรม “Global Delivery and Service Program” เพื่อให้บริการและนำเสนอโซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์รอบด้าน และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการใช้คลาวด์ให้กับลูกค้าทุกราย ภายใต้โปรแกรมนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดศูนย์บริการลูกค้าสามแห่งคือ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศมาเลเซีย) ปอร์โต (ประเทศโปรตุเกส) และเม็กซิโกซิตี้ (ประเทศเม็กซิโก) เพื่อสนับสนุนลูกค้าในการใช้คลาวด์ ให้คำปรึกษา และให้บริการโยกย้ายข้อมูลและแอปพลิเคชันบนคลาวด์ได้ตามกำหนดเวลาของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค
นอกจากศูนย์บริการลูกค้าสามแห่งนี้แล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้จัดตั้งศูนย์ให้บริการ (Service Delivery Centers) อีกสามแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศมาเลเซีย) ดูไบ (ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และฮ่องกง (ประเทศจีน) เพื่อสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานและโครงการระดับภูมิภาคของลูกค้าในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง ยุโรป และแอฟริกา
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเสริมพลังให้กับการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อาลีบาบา คลาวด์ ตอบรับความต้องการขององค์กรจำนวนมากที่ย้ายไปใช้คลาวด์ และต้องการบริการด้านคลาวด์บนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดมากขึ้น ด้วยชุดผลิตภัณฑ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ได้รับการยอมรับและพร้อมให้บริการแล้วทั่วโลก ประกอบด้วย คลาวด์-เนทีฟ ดาต้าเบสหลายรุ่น และบริการดิสทริบิ้วเต็ดคลาวด์ต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถใช้บริการคลาวด์ในขอบเขตที่กว้างขวาง ครอบคลุมทั้งเน็ตเวิร์ก สตอเรจ และการประมวลผล ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ประกอบด้วย
- Cloud Enterprise Network (CEN) 2.0 ที่รองรับความสามารถด้านเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่พิเศษ (ultra-large-scale networking) ด้วยความพร้อมใช้งานที่สูงขึ้น ค่าลาเทนซีที่ต่ำกว่า และการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น
- ESSD Auto PL ผลิตภัณฑ์ด้านสตอเรจ ที่ให้บริการแบบ block storage รองรับการปรับขนาดแบบอัตโนม้ติภายในไม่กี่วินาที เพื่อช่วยให้ธุรกิจรับมือกับปริมาณการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
- Lindorm คลาวด์เนทีฟดาต้าเบสหลากหลายรูปแบบของอาลีบาบา คลาวด์ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ออกแบบมาเพื่อตอบความต้องการด้านการประมวลผลแบบ fusion-processing สำหรับตารางขนาดใหญ่, time series, space-time และ unstructured data ประเภทต่าง ๆ
- ACK One (Alibaba Cloud Distributed Cloud Container Platform) แพลตฟอร์มการบริหารจัดการคอนเทนเนอร์หลายคลัสเตอร์และหลายภูมิภาค เพื่อมอบประสบการณ์การบริหารจัดการ การให้บริการ และการดำเนินงานที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแก่องค์กรต่าง ๆ และเมื่อต้นปีนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่ม “ผู้นำ” ในรายงาน Forrester WaveTM Public Cloud Container Platforms Q1 2022 เป็นครั้งแรก จากบรรดาผู้ให้บริการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมจำนวนแปดรายที่ได้รับการประเมิน