ความโดดเด่นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่อเทคโนโลยีระดับองค์กรจะยังคงร้อนแรงต่อเนื่องในปี 2567 โดยจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ และ AI จะยังคงความสำคัญในลำดับต้นๆ ที่แทบทุกธุรกิจต่างมองหาโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มมากขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ซับซ้อนและมีความก้าวล้ำ รวมถึงแอปพลิเคชั่นอัจฉริยะที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูล และนำการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และเชิงกำหนดมาใช้ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ส่วนบุคคล (personalized) โดยเฉพาะ
เพื่อดึงดูดความสนใจที่เกี่ยวข้องกับโอกาสของการนำ AI มาใช้ แพลตฟอร์ม Low-code จำนวนมากจึงพยายามสร้างแบรนด์ให้ตลาดรับรู้ว่าเขาคือเครื่องมือในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI ด้วยการบูรณาการเข้ากับระบบที่มีอยู่นี้ เราคาดว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในระยะต่อไป จะช่วยยกระดับงานของนักพัฒนามากขึ้น โดยที่พวกเขาจะส่งต่องานที่เป็นลักษณะรูทีนและงานที่ทำซ้ำๆ ให้กับตัวช่วยที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ซึ่งจะช่วยลดภาระของงานกิจวัตรทั่วไป เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้เวลากับการเขียนโค้ดที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญระดับสูง โดยผู้ช่วย AI ของเขาสามารถจัดการกับงานคัดลอกโค้ด การทดสอบด้วยตนเอง การสร้างและอัปเดตองค์ประกอบและเค้าโครง UI สำหรับหน้าจอที่หลากหลาย และการกำหนดค่าการสร้างสคริปต์
ส่วนเครื่องมือแบบ Low-code จะก้าวไปในทิศทางที่ส่งเสริมให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างแอปพลิเคชั่น AI ตั้งแต่ต้นจนจบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มที่เขียนด้วย Low-code ประสิทธิภาพสูง ควรดึงตัวเชื่อมต่อโมเดลภาษาขนาดใหญ่ เพื่อให้นักพัฒนาและองค์กรสามารถฝังความสามารถของ ChatGPT ลงในแอปพลิเคชั่นที่พวกเขาสร้างขึ้น ให้คำแนะนำส่วนบุคคลสำหรับผู้ใช้ และเพิ่มประสิทธิภาพผู้ช่วยเสมือน เป็นต้น
การบริหารจัดการข้อมูลจะกลายเป็นเรื่องที่องค์กรต่างๆ ต้องจัดให้อยู่ในความสำคัญลำดับแรกและลงทุนในเรื่องนี้ เป้าหมายของการนำ AI ไปใช้และการสร้างแอปพลิเคชั่นอัจฉริยะ จะต้องใช้ข้อมูลปริมาณมาก เพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกและช่วยในการตัดสินใจ ธุรกิจต้องตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันของตน เพื่อให้แน่ใจว่าพร้อมสำหรับงาน AI และปลูกฝังความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เช่น การรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล การติดฉลากข้อมูล การรักษาความปลอดภัยข้อมูล และการกำกับดูแลข้อมูล
เรายังคงเห็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันในประเด็นของ tech talent โดยที่ AI กำลังเข้ามาแทรกแซงวิธีการใช้เวลาในที่ทำงาน ในขณะที่ 40% ของชั่วโมงทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโมเดลภาษาขนาดใหญ่ โครงสร้างการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปนี้จะบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดจากการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะในภาคส่วนต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้การพัฒนาซอฟต์แวร์ AI มีความสามารถในการสร้างโค้ด การทดสอบ และกระบวนการปรับใช้อัตโนมัติ ดังนั้นแทนที่จะใช้เวลากับงานที่ซ้ำซากจำเจ นักพัฒนาสามารถใช้พลังและความสามารถของตนในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยแอปพลิเคชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่ นอกจากนี้ ด้วยความสามารถในการป้อนข้อมูลด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ เพื่ออธิบายแอปพลิเคชั่นที่ต้องการสร้าง จะช่วยดึงกลุ่มผู้มีความสามารถหลากหลายด้านให้มีโอกาสเข้าร่วมในการพัฒนาแอปได้มากขึ้น
ระบบ AI จะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์งานที่กว้างขึ้นด้วย เทคโนโลยีดังกล่าวคาดว่าจะเข้ามาแทนที่งาน 85 ล้านตำแหน่ง แต่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ถึง 97 ล้านตำแหน่งภายในปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์คาดว่า จำนวนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning จะเพิ่มขึ้น 40% ภายในปี 2570 งานใหม่จะรวมถึงวิศวกรรมพรอมพ์ (ความเชี่ยวชาญในการสื่อสารกับ AI) การเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้าน AI สำหรับงานออกแบบ พัฒนา และปรับแต่งข้อความพรอมพ์ (Generative AI) สำหรับแอปพลิเคชั่นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเครื่องมือประมวลผลภาษาธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
โดยสรุป อิทธิพลที่ยั่งยืนของ AI ในด้านเทคโนโลยีระดับองค์กร จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ตลอดปี 2567 เนื่องจากแพลตฟอร์มแบบ Low-code มุ่งไปสู่การบูรณาการระบบ AI โดยองค์กรต่างๆ จะสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นที่ซับซ้อนมากขึ้น และควบคุมทักษะของนักพัฒนาที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น