พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน กับเทรนด์เทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังมาอย่าง AI และ IoT (internet of think) ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อย่าง AIS เตรียมปรับแผนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะรูปแบบหน้าร้านและการใช้บริการตามสาขา
ประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS ให้ข้อมูลในงานแถลงข่าวประกาศร่วมมือ ในฐานะเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ระหว่าง IT CITY และ AIS ว่า พฤติกรรมคนส่วนใหญ่หันไปใช้บริการออนไลน์มากขึ้น แต่ยังคงสนใจจับจ่ายใช้สอยสินค้าประเภท Gadget , Accessories , IoT โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ
ดังนั้น หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของเอไอเอสในแผน 3 ปีข้างหน้าคือการสร้างความร่วมมือกับ Retail ชั้นนำเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าทั่วไป ได้เข้าถึงสินค้าของเอไอเอส ทั้งสมาร์ทโฟน เพคเกจ และเน็ตบ้าน เสริมกับช้อปเอไอเอส ที่มีอยู่เดิม ทำให้เพิ่มการเข้าถึงลูกได้มากขึ้นได้กว่า 25,000 จุด จาก 1,200 สาขาของเอไอเอส , Retail chain 600 กว่าสาขา และตู้อีกกว่า 10,000 สาขา ทำให้สามารถเชื่อต่อกับลูกค้าได้ทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน ในอนาคตเอไอเอสเตรียมปรับรูปแบบหน้าร้านใหม่ โดยจัดอัตราส่วนของพื้นที่ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ปรับลดที่นั่งรับบริการลง และเพิ่มการวางขายสินค้า โดยปรับเปลี่ยนไปตามพื้นที่ เพื่อให้เป็น Chief Retail Office คือทำช้อปที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ขายสินค้า เพื่อเปลี่ยนกรอบความคิดของลูกค้า เรื่องการเข้ามาหน้าช้อปจะต้องผูกแพคเกจ หรือมีปัญหาโทรศัพท์เท่านั้น
“เอสไอเอส จะโฟกัสโทรศัพท์มือถือให้แข็งแรงมากขึ้น และเพิ่มเติมด้วยบริการด้าน IoT จากเพื่อที่จะเป็น destination connectivity solutionโดยมองว่า อะไรที่มันสามารถจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต และ Wi-Fi ได้ ในอนาคตหน้าร้านของเอไอเอสจะต้องมีสิ่งนั้น” ประพัฒน์ กล่าว และบอกว่า วันนี้หน้าร้านบางสาขาได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ส่วนในอนาคตเอไอเอสได้ทำเป็นแผน 3 ปี รายละเอียดยังต้องอดใจรอ
เขามองว่าสินค้าในกลุ่ม IoT กำลังเป็นเทรนด์น่าสนใจ และจำเป็นต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต Wi-Fi ในการ ควบคุมได้ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีมากขึ้น แม้ในไทยจะยังมีสินค้าให้เลือกไม่มากนักเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ แต่ก็เริ่มเห็นชัดขึ้น อย่าง กล้องวงจรปิด จากแต่ก่อนที่ต้องวุ่นวายกับการติดตั้ง ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Digital IP ที่เชื่อมต่อและใช้งานได้ง่ายขึ้น รวมถึงกลอนประตูดิจิทัล และหลอดไฟเปลี่ยนสี ที่ควบคุมได้ผ่านแอปพลิเคชั่น
เอไอเอส มองว่า การทำตลาดรีเทลที่มีความท้าทาย และเป็นก้าวสำคัญที่จะเข้ามาช่วยต่อยอดและสร้างรายได้ให้ธุรกิจที่มีความแข็งแรงอยู่แล้วทั้งในเรื่องของเน็ตเวิร์ค Mobile Supscription และ Fixed broadband ที่เป็นอันดับหนึ่ง ที่ต้องทำต่อและทำให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างรายได้ให้ต่อไปในอนาคต
เกษม ศรีเลิศชัยพานิช รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ตอบรับ AI อย่างรวดเร็วมีส่วนผลักดันให้ตลาดสมาร์ทโฟนขยายตัวต่อเนื่อง จากในปีที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดสินค้า อุปกรณ์ไอทีประเทศไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยหลักการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาอยู่ในรูปแบบฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ
เป็นปีที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทต่อการทำการตลาดของแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำต่างๆ ภาพรวมตลาดของสินค้าสมาร์ทโฟน ขณะที่ตลาดคอมพิวเตอร์ในไทยคาดว่าจะมีความต้องการขยายตัวสูงขึ้น หลังจากผู้ผลิตชิปชั้นนำได้เปิดตัวเทคโนโลยี AI อาทิ Intel Core Ultra, Ryzen Ai และ Nvidia RTX 5000 Series เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจต่างๆ ได้ชาญฉลาดและรวดเร็วขึ้น ซึ่งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แบรนด์ชั้นนำต่างนำเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค
ทั้งนี้ ด้วยจุดแข็งของ IT CITY ที่มีสาขาครอบคลุมกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ ทำให้การทำงานร่วมกัน ระหว่าง AIS และ IT CITY ครั้งนี้ จะช่วยการตอกย้ำถึงความเป็นที่ 1 ตัวจริง ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า ที่นอกเหนือจากการดูแลทั้งการใช้งานมือถือ และเน็ตบ้านเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่ม
พร้อมกันนี้ เอไอเอสยังได้ร่วมกับ IT CITY ตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถนำขยะ e-Waste มาฝากทิ้ง นับเป็นการยกระดับความร่วมมือจากเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ สู่พันธมิตรที่ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอีกด้วย