สารภาพว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ลองใช้กล้องแอ็คชั่นแคมอย่างจริงจัง แน่นอนว่า GoPro HERO 7 Black ก็ถือเป็นกล้องแอ็คชั่นแคมตัวแรกที่ใช้เช่นกัน ก่อนจะเขียนรีวิวนี้ ก็พอได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้า HERO 7 Black มาไม่น้อย หลัก ๆ เลยคือ “ประสิทธิภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนอย่างทาบไม่ติด” จากตรงนี้ก็ลองไปหาข้อมูลมา ก็พบว่า HERO 7 Black หลัก ๆ มีดีที่ รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K@60fps และสุดยอดระบบกันสั่น HyperSmooth ที่แม้จะเป็นซอฟต์แวร์ก็ตาม นอกนั้นก็มีฟีเจอร์ที่พัฒนาแบบยกระดับ ต่างจากรุ่นซีรีย์ 6 ตัวก่อนหน้าพอควร สำหรับตัว HERO 7 Black ก็ถือเป็นกล้องแอ็คชั่นแคมรุ่น Hi-End ตัว Top สุดในซีรีย์ 7 ของ GoPro ซึ่งจะดีงามขนาดไหนนั้น มาดูกันครับ
สเปก GoPro HERO 7 Black
- การลดการสั่นไหวของวิดีโอด้วย HyperSmooth – ลดการสั่นไหวเหมือนกิมบอล โดยไม่ต้องใช้กิมบอล
- สตรีมมิ่งไลฟ์ – แชร์เรื่องราวในขณะที่คุณกำลังทำอยู่ด้วยสตรีมมิ่งวิดีโอ พร้อมทั้งบันทึกวิดีโอที่สตรีมลงในการ์ด SD ในความละเอียดสูงได้
- วิดีโอ TimeWarp – บันทึกวิดีโอไทม์แล็ปส์ที่ไร้การสั่นไหวในขณะที่คุณเคลื่อนไหวในฉาก เพิ่มความเร็วได้สูงสุด 30x
- SuperPhoto – ถ่ายภาพที่ดีที่สุด โดยอัตโนมัติ ด้วยระบบ HDR, Local Tone Mapping และการลดเสียงรบกวนอย่างชาญฉลาด (Multi-Frame Noise Reduction) เพื่อปรับแต่งการถ่ายภาพของคุณ
- ถ่ายภาพแนวตั้ง – บันทึกภาพถ่ายและวิดีโอในแนวตั้ง ซึ่งเหมาะสำหรับแชร์ลง Snapchat และ Instagram Stories
- ระบบเสียงที่ดีขึ้น – ปรับแต่งระบบเสียงเพื่อรองรับการจับรูปแบบเสียงได้กว้างขึ้น พร้อมทั้งวัสดุไมโครโฟนรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดเสียงสั่นสะเทือนหากบันทึกวิดีโอในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างแรง เช่น นั่งบนหลังม้า หรือขับรถบนเส้นทางขรุขระ
- หน้าจอสัมผัสใช้งานง่าย – หน้าจอขนาด 2 นิ้ว ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้ถ่ายภาพแนวตั้งได้
- การตรวจจับใบหน้า รอยยิ้ม และฉาก – HERO7 Black สามารถจดจำใบหน้า การแสดงสีหน้า และลักษณะของฉากได้ เพื่อช่วยให้สามารถตัดต่อวิดีโอผ่าน QuikStory บนแอพ GoPro ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- คลิปสั้น – บันทึกคลิปวิดีโอได้สูงสุด 15 – 30 วินาที เพื่อส่งเข้าโทรศัพท์มือถือ ตัดต่อ และแชร์วิดีโอได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ใหม่และเด็ก
- ตัวตั้งเวลาภาพถ่าย – นับเวลาถอยหลังได้ เพื่อการถ่ายรูปเซลฟี่ หรือภาพหมู่ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
- ความละเอียดภาพระดับสูง – วิดีโอ 4K60 และภาพถ่าย 12MP
- วิดีโอที่ช้าลงมากกว่าเดิม – วิดีโอ 8x slow motion ความละเอียด 1080p240
- ทนทานและกันน้ำ – แชร์ประสบการณ์ที่คุณบันทึกไม่ได้ด้วยโทรศัพท์ HERO7 Black ทนทานและกันน้ำโดยไม่ต้องใส่ กรอบใด ๆ ลึกถึง 10 เมตร
- การควบคุมด้วยเสียง – ควบคุมบบแฮนด์ฟรีด้วยคำสั่งเสียงได้มากถึง 14 ภาษา
- โอนย้ายไปยังโทรศัพท์อัตโนมัติ – ภาพถ่ายและวิดีโอของคุณจะย้ายไปยังโทรศัพท์ของคุณได้โดยตรงเมื่อเชื่อมต่อแอพ GoPro เพื่อให้คุณสามารถแชร์ได้อย่างรวดเร็ว
- สติ๊กเกอร์สมรรถนะ GPS – ติดตามความเร็ว ระยะทาง และความสูง แล้วแปะสติ๊กเกอร์ในวิดีโอของคุณในแอพ GoPro เพื่อแสดงว่าคุณไปได้เร็ว ไกล และสูงแค่ไหนในขณะที่เคลื่อนไหว
- การซูมแบบสัมผัส – จัดเฟรมภาพถ่ายและวิดีโออย่างลงตัวเพียงแค่แตะหน้าจอ
แกะกล่อง
สืบเนื่องจากกล้อง GoPro ถือเป็นอุปกรณ์ที่ต้องเพิ่งพาอุปกรณ์เสริมพอควร และจากที่ได้ยินมาว่า GoPro ไม่ค่อยแถมอะไรในกล่องมากนัก ก่อนรีวิวจึงไปขออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ซึ่งพระเอกในครั้งนี้ก็คือ Chesty เป็นสายคล้องลำตัวพร้อมตัวยึดกล้อง อีกตัวก็มี Compact Case กล่องกันกระแทกอย่างดี ซึ่งภายในมี Shorty ไม้เซลฟี่ + ขาตั้งแบบสั้น สุดท้าย เคสซีลีโคน สำหรับตัว HERO 7 Black
ตัวกล่อง HERO 7 Black ก็ตามสไลต์ GoPro มาทรงเดียวกันเลย
ต่างกันแค่โลโก้ Hyper Smooth ที่มีเฉพาะใน HERO 7 Black ตัวนี้แปะอยู่
อุปกรณ์ภายในกล่อง ก็ประกอบไปด้วยตัวกล้อง HERO 7 Black, Housing, ที่ติดหมวกกันน็อคกับคอนโซลรถ, ชุคคู่มือ, สติ๊กเกอร์ GoPro และสาย 3.1 USB-A to USB-C
ตัวกล่อง Chesty สายคล้องลำตัวพร้อมตัวยึดกล้อง ส่วนหน้าตาเป็นไงนั้น ลองดูกันต่อไป
Compact Case กล่องกันกระแทกสำหรับกล้อง GoPro
วัสดุและการออกแบบ
หน้าตาตัว HERO 7 Black ก็เหมือนกับรุ่น HERO 6 ทุกกระเบียดนิ้ว ยกเว้นสีเครื่องที่ HERO 7 Black เป็นสีดำทั้งหมดตามชื่อ วัสดุเป็นยางหุ้มช่วยกันกระแทกในระดับหนึ่ง มาพร้อมฟีเจอร์กันน้ำในตัวได้ลึกถึง 10 เมตร นอกนั้นก็มีปุ่มถ่ายภาพ ปุ่มเปลี่ยนโหมด ฝาปิดช่อง Tpye-C และ Mini HDMI ฝาปิดช่องใส่แบตฯ และ Micro SD สุดท้ายโลโก้ Black 7 ซึ่งเฉพาะในรุ่นนี้เท่านั้น ในขณะที่รุ่น HERO 6 ไม่มี
ฝาปิดช่อง Tpye-C และ Mini HDMI มีส่วนจุกยางช่วยกันน้ำเข้าให้พร้อม
ส่วนฝาปิดช่องใส่แบตฯ และ Micro SD ในตำแหน่งเดิมกับรุ่น HERO 6
Micro SD และแบตฯ GoPro
ส่วนหน้าจอเป็นแบบสัมผัส ใช้งานได้คล้าย ๆ สมาร์ทโฟน
ทั้งนี้หากวางตัวเครื่องในแนวตั้ง ตัว UI หรือ Interface ก็จะปรับแนวตั้งตามโดยอัตโนมัติด้วย ช่วยให้ถ่ายภาพ Portrait ได้สะดวกขึ้น
การใช้งาน (อุปกรณ์เสริม)
แนะนำ 3 อุปกรณ์เสริมหลัก ๆ อาทิ Chesty สายคล้องลำตัวพร้อมตัวยึดกล้อง Housing สำหรับ HERO 7 Black, Shorty ไม้เซลฟี่ + ขาตั้งแบบสั้น สุดท้ายตัวกล้อง GoPro HERO 7 Black
ตัว Housing หรือส่วนป้องกันตัวกล้อง HERO 7 Black และเป็นตัวช่วยติดตั้งกับอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ของ GoPro เวลาติดตั้งง่าย แต่ถอดออกยากนิด ๆ ต้องใช้แรงในการดันตัวล็อคออกไม่น้อย แต่ก็ช่วยให้ตัว Housing ยึดกับตัว HERO 7 Black ได้แน่นหนาดี
Shorty หากไม่ยึดออก ก็จะเป็นขาตั้งตัวกล้องแบบเตี้ยดี ๆ ตัวหนึ่งเลย หากยึดออกก็จะกลายเป็นไม้เซลฟี่ขนาดไม่ยาวมากตัวหนึ่ง อยากใช้แบบไหนเลือกได้เลย
สุดท้าย Chesty สายคล้องลำตัวพร้อมตัวยึดกล้อง ซึ่งจะเป็นพระเอกหลักของรีวิวนี้
เวลาติดตั้งใช้งาน ก็ต้องใส่ตัว Housing ก่อน จากนั้นก็นำตัวล็อคไปใส่กับตัว Chesty ซึ่งเวลาใส่ก็ต้องดึงตัวจุกยางออกก่อน จากนั้นก็ดันตัวแง่งเสียบเข้าไป ดันจนกว่าตัวจุกยางกดลงมาจนสุด เป็นอันเสร็จการติดตั้ง จากขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าทาง GoPro ออกแบบตัวล็อคได้ดีทีเดียว คือมีตัวล็อคมากกว่าหนึ่ง ช่วยยึดตัวกล้องไม่ให้หลุดออกได้ง่าย ๆ ขณะเคลื่อนไหว
หน้าตาตอนใส่ HERO 7 Black กับ Chesty
เคสซีลีโคนสีขาวสำหรับ HERO 7 Black
การใช้งาน (ตัวกล้อง)
หลัก ๆ ที่จะเทสในรีวิวนี้ก็คือ 4K@60fps กับ HyperSmooth ที่เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ชูโรงของ HERO 7 Black (อื่น ๆ ก็มี TimeWarp, SuperPhoto, Live Streaming และ Voice command) แต่ก่อนหน้านั้นลองมาดูหน้า Interface ของตัวกล้องกันก่อน
เมื่อเปิดตัวกล้องขึ้นมา หน้าแรกที่จะเจอก่อนเลยคือ Video Mode ในหน้านี้ก็จะมีตัวเลขบอกชัดเจนเลยว่า เรากำลังถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดเท่าไร เฟรมเรตอะไร และเปิดโหมดช่วยถ่ายอะไรบ้าง นอกนั้นก็มีปุ่มไอคอนสำหรับกดเปลี่ยนโหมด กดซูม และกดตั้งเวลาอัดวิดีโอ หากจะดูภาพวิดีโอหรือภาพถ่าย กดเอานิ้วสไลค์หน้าจอขึ้น ตั้งค่าตัวกล้องเพิ่มเติม ก็เอานิ้วสไลค์หน้าจอลง โดยรวมใช้ง่ายไม่ยาก แต่จะมีอาการสไลค์ไม่ติดนิ้ว หรือหน่วง ๆ นิด ๆ
ตัวกล้องมี 3 โหมดใช้งานหลัก อาทิ Video Mode, Photo Mode และ TimeWarp เวลาเปลี่ยนโหมดก็เอานิ้วสไลต์เลื่อนซ้ายขวาไปมาได้เลย
Photo Mode (ซ้าย) และ TimeWarp (ขวา)
สำหรับกล้อง HERO 7 Black ก็มาพร้อม 4K@60fps ที่ช่วยให้ภาพคมชัดสูงระดับ 4K ได้ลื่นไหล และนอกจากจะลื่นไหลแล้ว ยังรองรับ HyperSmooth สุดยอดระบบกันสั่นของ HERO 7 Black ด้วย อย่างไรก็ตาม HyperSmooth ไม่ได้รองรับความละเอียดกับค่า fps ทั้งหมด อย่าง 1080P(Full HD)@240fps ที่ถือเป็นเฟรมเรตเหมาะสำหรับอัดภาพวิดีโอความเร็วสูงมาก ๆ ซึ่งข้อดีของเฟรมเรตระดับนี้คือ เอาไปทำภาพ Slow Motion ได้ดีเยี่ยม แต่แลกกับไม่รองรับ HyperSmooth แทน
ในหน้าตั้งค่าการถ่ายวิดีโอ ตัวกล้องจะกำหนดค่าอัตโนมัติไว้ตามนี้เลย ทั้งมุมกล้องแบบ Wide (ซึ่ง Wide ได้ใจจริง ๆ) ค่า Low Light แบบ Auto กันสั้นแบบ Auto และสุดท้าย Protune ซึ่งปิดเอาไว้อยู่
Protune คืออะไร มันคือหน้าตั้งค่าต่าง ๆ สำหรับผู้ใช้มือโปรนั้นเอง ในหน้านี้ก็จะมีให้ปรับการตั้งค่าหลากหลายมาก แต่ถ้าใครงงส่วนนี้ ก็เลือกปิด Protune ไป ให้ตัวกล้องมันจัดการตั้งค่าเองแทนก็ได้
สำหรับโหมดกันสั่น หากตั้ง Auto มันจะปรับให้เอง โดยจะดูว่าเราเลือกอัดวิดีโอแบบไหน ถ้า 4K@60fps ก็เป็น HyperSmooth เสมอ และถ้าเลือกเลนส์แบบ Wide ด้วย หากเปิดกันสั่น มันจะ Crop หรือตัดภาพออกไป 10% จากจุดนี้ก็ทราบทันทีเลยว่า นี้คือกันสั่นแบบซอฟต์แวร์จริง ๆ เพื่อแลกกับความไหลลื่น ก็จะตัดภาพรอบ ๆ ที่สั่นไหวออกไป เหลือเฉพาะตรงกลางที่ยังนิ่งอยู่ แต่ด้วยความที่ Wide มันกว้างขวาง ภาพที่ถูกตัดออกไปจึงไม่ได้เยอะอะไรนัก เท่านี้ก็ได้ภาพวิดีโอกันสั่นแบบเนียน ๆ ออกมาแล้ว
โหมด Preview หรือดูภาพวิดีโอกับภาพถ่ายตอนปัดหน้าจอขี้น หากดูภาพวิดีโอ ก็สามารถกด Play/Pause หรือกดข้ามไปมาได้อิสระ ทั้งนี้ตัวกล้องก็จะมีลำโพงในตัวด้วย แต่ก็ไม่ได้ดังมากมายอะไร
หน้าเมนูตอนปัดหน้าจอลง ก็มีตัวเลือกให้ปรับค่าอื่น ๆ นอกจากถ่ายภาพ อาจเรียกได้ว่าเป็นหน่า Notification แบบในสมาร์ทโฟนก็ได้ จุดนี้เองก็ได้เจอความพิเศษอย่างหนึ่งของตัว HERO 7 Black คือมันต่อ Wi-Fi ได้ และสามารถทำ Facebook Live หรือ Live Streaming อื่น ๆ ได้ด้วย แน่นอนว่า Live ผ่าน Wi-Fi นี้เอง
ประสิทธิภาพ
ต่อไปมาดูส่วนเทพของตัวกล้องอย่าง 4K@60fps ที่มาพร้อมกันสั่น HyperSmooth และ 1080P@240fps ที่แม้ไม่รองรับ HyperSmooth แต่ภาพก็ยังออกมาสมูทดี โดยตลอดการเทสนี้ ก็ได้นำกล้องมาใส่กับ Chesty หรือสายคล้องลำตัวพร้อมตัวยึดกล้องตลอดเวลา ภาพที่ได้ก็จะอารมณ์แบบมุมมองบุคคลที่ 1 ตามนี้
เริ่มด้วย 4K@60fps ขณะกำลังเดิน
ต่อด้วย 4K@60fps ขณะวิ่ง ดูความสมูทของ HyperSmooth แบบชัด ๆ กัน
สุดท้ายปิดด้วย 1080P@240fps ที่ไม่มี HyperSmooth แต่ก็สมูทอยู่
ภาพถ่ายจาก GoPro HERO 7 Black
กดถ่ายแบบ Auto ทั้งหมด
เปรียบเทียบภาพ Wide (ซ้าย) กับไม่ Wide (ขวา)
สรุป
จากผลรีวิว บอกได้เลยว่าใครที่เพิ่งซื้อ HERO 6 ไป ตอนนี้คงนั่งน้ำตาตกแน่ ๆ หากเปรียบเทียบสเปกกันแล้ว GoPro HERO 7 Black ถือว่าเหนือกว่าหลายขุม ทั้งฟีเจอร์ที่พัฒนาใหม่หลายอย่างมาก ทั้งรองรับวิดีโอ 4K@60fps กับ 1080P@240fps และกันสั่น HyperSmooth ซึ่งระบบกันสั่นนี้เอง คือหัวใจสำคัญของตัว HERO 7 Black นี้เลย นิ่งใช้ได้ แม่ไม่มีไม้ Gimbal ช่วยก็ตาม ด้านความละเอียดคมชัด ตัวกล้องมีโหมด Auto ให้พร้อม ทำให้สามารถถ่ายภาพได้คมชัดดี แม้ไม่ได้เป็นมือโปรก็ตาม ด้านวัสดุก็ทนทานดีเหมือนรุ่นก่อน ๆ
พูดถึงข้อสังเกตบ้าง ตัวกล้องใช้ไปนาน ๆ จะร้อนใช่เล่น แบตฯ ก็ควรพกสำรองไว้เลย โดยเฉพาะโหมด 4K@60fps กินแบตฯ มาก ๆ ทีเดียว ทั้งนี้หากต้องการใช้ตัวกล้องแบบเต็มประสิทธิภาพ ก็ต้องหวังเพิ่งอุปกรณ์เสริมไม่น้อย (ในรีวิวนี้หากไม่ได้ตัว Chesty ก็ไม่รู้ว่าจะรีวิวยังไงเหมือนกัน ถือถ่ายก็ยังไง) ตัวกล่องไม่ได้แถมอะไรมากมาย ทำให้ต้องเพิ่มงบอีกส่วนไปจัดอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ซึ่งตัวกล้องเองก็ถือว่ามีราคาค่อยข้างสูงแล้ว โดยตัว GoPro HERO 7 Black สนนอยู่ที่ 14,500 บาท ครับ