ตั้งแต่ Facebook จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นมานั้น เชื่อว่าหลายๆคนคงสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างของ Facebook ซึ่งหนึ่งในเรื่องหนึ่งที่หลายคนหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นก็คงหนีไม่พ้นโฆษณาที่โผล่เต็มหน้า News feed และการปรับเปลี่ยนการแสดงผลบน News feed ที่ส่งผลให้นักการตลาดที่ดูแลแฟนเพจต่างๆพากันบ่นอุบถึงความ “เขี้ยว” ของ Facebook ที่ดูเหมือนจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แบรนด์ต้องยอม “จ่ายเงิน” ซื้อโฆษณาในที่สุด
อย่างไรก็ตาม “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” บิดาผู้ก่อตั้ง Facebook ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง Wall Street Journal ว่าทุกสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงิน แต่ที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระดับราคาหุ้นของ Facebook สูงนั้นเป็นเพราะนั่นเป็นกลยุทธ์ที่จะรักษาพนักงานที่เก่งๆเอาไว้ให้อยู่กับบริษัทต่อไปได้ เพราะใครๆก็คงอยากจะทำงานในองค์กรที่มีผลกำไรดี
หลายปีก่อนหน้านี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เคยยึดมั่นมาตลอดว่าจะไม่มุ่งเน้นการสร้างกำไรมหาศาล แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้ใช้งาน Facebook ให้ได้หนึ่งพันล้านคน ซึ่งในขณะนั้น ผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่ใช้ Facebook ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ Desktop โฆษณาในตอนนั้นจะปรากฎอยู่ทางด้านขวาของหน้าจอ จนกระทั่งสถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่อผู้คนหันมาใช้โทรศัพท์มือถือในการเล่นอินเตอร์เน็ทกันมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Facebook เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะใส่โฆษณาไว้ด้านข้างเมื่อเปิด Facebook ดูจากหน้าจอเล็กๆอย่าง Smartphone
เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ท้ายที่สุด Facebook จึงต้องปรับให้แสดงโฆษณาบนหน้า News feed อย่างเช่นทุกวันนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Facebook เติบโตถึง 105% ในปีที่แล้ว ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีทั่วไปในตลาดหุ้น Nasdaq เติบโตเฉลี่ยแค่ประมาณ 38%
แม้ว่าในปัจจุบัน มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จะกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้ชีวิตแบบสมถะเหมือนที่เคยเป็นมา ยังคงใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตง่ายๆ และขับรถ Volkswagen GTI (ราคาประมาณ 9 แสนบา) ไปทำงาน เมื่อปีที่ผ่านมา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กก็ได้บริจาคหุ้น Facebook 18 ล้านหุ้น มูลค่า 990 ล้านดอลล่าร์หรือเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ให้กับมูลนิธิซิลิคอน แวลลีย์ คอมมิวนิตี้ จนติดอันดับเศรษฐีใจบุญที่สุดจากการจัดอันดับของหนังสือพิมพ์รายปักษ์ The Chronicle of Philanthropy
“ผมแทบคลั่งทุกครั้งเมื่อเห็นคนเขียนด่าว่า Facebook ทุกวันนี้กำลังทำทุกอย่างเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว” มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าว
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นนั้นไม่ใช่ประเด็นเล็กน้อยที่ผู้บริหารบริษัทมหาชนจะมองข้ามได้ เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นแล้ว บริษัทก็กลายเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ไม่ได้อยู่ในมือของผู้บริหารไม่กี่คนอีกต่อไป หลายครั้งบริษัทเหล่านี้จึงไม่มีอิสระที่จะคิดค้นหรือพัฒนาอะไรแปลกๆใหม่ๆได้ เหมือนดังที่สุดท้ายบริษัท Dell เองก็ตัดสินใจถอนตัวจากตลาดหุ้น เพื่อที่จะสามารถควบคุมบริหารงานได้อย่างอิสระ ตราบใดที่ Facebook ยังคงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะอยู่รอดได้ต่อไปเช่นกัน
อ้าอิงจาก HuffingtonPost