ไม่นานหลังจากเปิดตัว iPhone 5c ก็ตามมาด้วยรุ่นพรีเมี่ยมอย่าง “iPhone 5s” รุ่นอัพเกรดสเปคจาก iPhone 5 เดิม ที่มากับสีของตัวเครื่องแบบใหม่ พร้อมคุณสมบัติที่เร็ว แรงยิ่งขึ้น รวมไปถึงเซนเซอร์สแกนลายนิ้วใต้ปุ่มโฮม เรียกว่า Touch ID Sensor
ดีไซน์และขนาด
iPhone 5s ยังยึดคอนเซปต์ของตัวเครื่องเช่นเดียวกับ iPhone 5 ฝาหลังเป็นอะลูมิเนียมเช่นเดิม หน้าจอ 4 นิ้วแบบ Retina Display มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำ, สีเงิน และสีแชมเปญ
iPhone 5s สีแชมเปญ
สเปคที่เพิ่มขึ้นของ iPhone 5s
– ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด “A7” ซัพพอร์ตการทำงานในแบบ 64-bit ครั้งแรกบนโทรศัพท์มือถือ เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลได้เร็วยิ่งกว่า iPhone รุ่นแรกถึง 56 เท่า
– สนับสนุน OpenGLES 3.0 ช่วยให้การประมวลผลด้านกราฟฟิกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเกมส์
– มีเซนเซอร์ที่เรียกว่า “M7” สำหรับตรวจวัดการเคลื่อนไหวและทิศทาง
– กล้องหลังยังเป็น iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมการเพิ่มเข้ามาของแฟลชแบบ dual LED (Apple เรียกว่า “True tone flash”) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นและรูรับแสงเปลี่ยนมาเป็น f/2.2 ทำให้ถ่ายภาพได้ชัดขึ้น
True tone flash
– มี Burst Mode ป้องการถ่ายภาพสั่นไหวพร้อมประมวลผลออกมาเป็นรูปที่คมชัดที่สุด และสามารถถ่ายภาพได้ 10 เฟรมต่อวินาทีอีกด้วย
– ในโหมดของการบันทึกวีดีโอสามารถถ่าย Slow Motion ได้ 120 เฟรมต่อวินาทีบนความละเอียด 720p
– ฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วไว้ใต้ปุ่มโฮม เรียกว่า “Touch ID Sensor” แค่แตะเบาๆก็สามารถสแกนลายนิ้วมือได้ ใช้แทนการปลดล็อคเครื่องหรือใส่รหัสผ่านสำหรับซื้อแอพบน App Store ได้โดยไม่ต้องพิมพ์พาสเวิร์ด Apple ID ซึ่ง Apple เพิ่มเติมว่า Touch ID Sensor สามารถบันทึกข้อมูลได้หลายนิ้ว และจะไม่ส่งข้อมูลใดๆ ต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ หรือ ใช้ร่วมกันกับ iCloud เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ปุ่มโฮมแบบใหม่ฝัง “Touch ID Sensor” มาให้ด้วย
– iPhone 5s แบตอึดกว่า iPhone 5 เปิดสแตนด์บายได้นานถึง 250 ชั่วโมง (เดิม 225 ชั่วโมง) ใช้งานร่วมกับ 3G ได้นาน 8 ชั่วโมง
ราคา
iPhone 5s มาราคาเดิม 16GB : $199, 32GB : $299, 64GB : $399 แบบติดสัญญา 2 ปีทั้งหมด ถ้ามาขายในไทยก็เหมือนเดิมเริ่มต้นที่ 22,900 – 23,900 บาท ในรุ่น 16GB เริ่มขายในบางประเทศ 20 กันยายนนี้ และเริ่มวางขายในอีก 100 ประเทศทั่วโลก ภายในเดือนธันวาคมนี้