รู้หรือไม่ 10 เหตุผลที่ Windows 11 จำเป็นต้องมี TPM 2.0

การเปิดตัว Windows 11 มาพร้อมกับความต้องการขั้นต่ำที่เข้มงวดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ TPM 2.0 (Trusted Platform Module) ซึ่งเป็นชิปความปลอดภัยที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์หลายรุ่น ความต้องการนี้สร้างความสับสนและกังวลให้กับผู้ใช้จำนวนมาก แต่เบื้องหลังความต้องการนี้ Microsoft ก็มีเหตุผลสำคัญที่ต้องการให้ TPM 2.0 เป็นส่วนหนึ่งของ Windows 11  มีอะไรบ้าง มาดูกัน

1. ต้องการรากฐานความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง

TPM 2.0 ทำหน้าที่เป็นเสมือนตู้นิรภัยขนาดเล็กภายในคอมพิวเตอร์ของเรา มันสามารถเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น คีย์เข้ารหัส, รหัสผ่าน, และข้อมูลไบโอเมตริก ได้อย่างปลอดภัย โดย TPM 2.0 ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ได้รับการปกป้องจากการโจมตีของมัลแวร์และแฮกเกอร์

2. ปกป้องการบูตระบบ

หลายคนน่าจะรู้จักระบบ Secure Boot ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำงานร่วมกับ TPM 2.0 เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของระบบปฏิบัติการและไดรเวอร์ต่างๆ ในระหว่างการบูตเครื่อง ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการแก้ไขหรือแทนที่ไฟล์ระบบที่สำคัญ และเพื่อให้แน่ใจว่า เรากำลังบูตเข้าสู่ระบบที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้

3. ป้องกันการโจมตีระดับเฟิร์มแวร์

ปัจจุบัน การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์เป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ TPM 2.0 ช่วยให้ Windows 11 สามารถตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ในระหว่างการบูตเครื่อง ซึ่งช่วยป้องกันมัลแวร์จากการฝังตัวในระดับลึกของระบบได้

4. รองรับการเข้ารหัสด้วยฮาร์ดแวร์

TPM 2.0 สามารถสร้างและจัดเก็บคีย์เข้ารหัสได้โดยตรงบนชิป ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้ารหัสได้อย่างมาก เนื่องจากคีย์เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่พยายามจะขโมยข้อมูล

5. รองรับการใช้ Windows Hello ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น

Windows Hello เป็นคุณสมบัติการเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้า, ลายนิ้วมือ, หรือรหัส PIN ที่ปลอดภัย TPM 2.0 มีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บและปกป้องข้อมูลไบโอเมตริกที่ใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์

6. เพิ่มความปลอดภัยให้กับแอปพลิเคชัน

นักพัฒนาสามารถใช้ TPM 2.0 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับแอปพลิเคชันของตนได้ ตัวอย่างเช่น เพื่อใช้ในการ การเข้ารหัสอีเมล โดยสามารถใช้ในการสร้างและจัดเก็บคีย์สำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัสอีเมล ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าเฉพาะผู้รับที่ถูกต้องเท่านั้นที่สามารถอ่านอีเมลได้

นอกจากนี้ TPM 2.0 สามารถใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้และอุปกรณ์ ก่อนที่จะอนุญาตให้เชื่อมต่อกับเครือข่าย VPN ซึ่งช่วยป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

7. รองรับเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคต

TPM 2.0 เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่ามันจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยในอนาคต การมี TPM 2.0 บนเครื่องของเรา จะช่วยให้สามารถใช้งานคุณสมบัติและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้นความปลอดภัยได้ในอนาคต

8. ปกป้องข้อมูลขององค์กร

สำหรับผู้ใช้ในองค์กร TPM 2.0 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน มันสามารถใช้ในการเข้ารหัสฮาร์ดไดรฟ์, ตรวจสอบความถูกต้องของอุปกรณ์, และควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ

9. ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ที่มี TPM 2.0 และ Secure Boot มีโอกาสติดมัลแวร์น้อยลงอย่างมาก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล, การหยุดชะงักของระบบ, และความเสียหายทางการเงิน

10. สร้างความมั่นใจในระบบนิเวศของ Windows

สุดท้าย การกำหนดให้ TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ นั่นหมายความว่า Microsoft กำลังผลักดันให้อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างระบบนิเวศ Windows ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้นสำหรับทุกคนนะ

สรุปก็คือ TPM 2.0 เป็นมากกว่าแค่ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ แต่ถือเป็นส่วนสำคัญของความปลอดภัยบน Windows 11   ซึ่ง Microsoft ตระหนักถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในโลกดิจิทัล และ TPM 2.0 เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องผู้ใช้และข้อมูลของพวกเขาครับ ดังนั้น หากใครซีเรียสก็หาคอมที่มี TPM 2.0  มาใช้งานเถอะ แต่หากไม่คิดมาก ก็หาวิธีลงและใช้งานในแบบต่าง ๆ กันไปละกัน