โลกหลังโควิด-19 จะเป็นโลกที่มีแนวโน้มการเกิด Digital Disruption ที่รุนแรงขึ้นในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการค้าที่ต้องปรับตัวเข้าสู่ Digital Commerce เพื่อให้ทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของวิถีโลกที่ผู้คนหันไปใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากขึ้น
จากรายงานการวิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งจัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company ชี้ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia: SEA) กำลังก้าวเข้าสู่ “ทศวรรษแห่งดิจิทัล” จากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่มีมากกว่า 440 ล้านคน โดยเป็นผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มดิจิทัลถึงกว่า 350 ล้านคน ทำให้คาดว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้จะเติบโตได้ถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 41 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 ขณะที่ประเทศไทยจะเติบโตได้ถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568
คุณสุปรีย์ ทองเพชร CEO ของ Montivory บริษัทที่ปรึกษาด้านปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัล หรือ Digital Transformation เปิดเผยว่า หากธุรกิจใด ยังดำเนินการแบบเดิม ๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนช้า อาจทำให้ตกที่นั่งลำบากในยุค Digital Disruption และอาจทำให้สูญเสียมูลค่าในธุรกิจตามมา และที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่า ธุรกิจหลายแห่งได้พยายามที่จะปรับจะเปลี่ยนรูปแบบการดำเนิน แต่เรามักไปให้ความสำคัญกับเครื่องมือมากกว่าเช่น
หากมีใครบอกว่าเครื่องมือนี้ดี เครื่องมือนี้น่าใช้ หลายธุรกิจตัดสินใจลงทุน แต่ส่วนใหญ่มักไม่ได้เอามาใช้งานให้เกิดประโยชน์ภายในสูงสุด รวมทั้งบางองค์กรยังขาดผู้เชี่ยวชาญในด้านการดำเนินงาน หรือไม่ก็โยนภาระในการทำ Digital Transformation ไปให้กับฝ่าย IT ภายใน ทั้ง ๆ ควรดำเนินผ่าน State Business Dirve ไม่ใช่ IT Drive และให้ IT เป็นฝ่ายที่สนับสนุนในการแนะนำโซลูชั่นที่ตอบโจทย์กับการใช้งานธุรกิจ
ปัจจุบันธุรกิจแบบ B2B B2C และ E-Commerce กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ D2C หรือ Direct-to-Consumer Commerce และกลายเป็นสมรภูมิการค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย และเป็นปัจจัยผลักดันให้องค์กรไม่ว่าในระดับ SMEs หรือบริษัทขนาดใหญ่ ต้องเร่งนำธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลที่สมบูรณ์ ทำให้ในอนาคตจะยังคงมีแนวโน้มเกิดการแข่งขันทางเทคโนโลยีขององค์กรต่าง ๆ ค่อนข้างสูง
ดังนั้น Montivory จึงมีเป้าหมายที่จะเข้าไปช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ ใช้ต้นทุนที่สมเหตุผลสมผล และสามารถสร้างมูลค่ากลับมาให้บริษัทลูกค้าได้ โดยตอนนี้ Montivory ได้ เตรียมความพร้อมของทีมงาน เพื่อขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ทั้งในรูปแบบการเป็นผู้ให้คำปรึกษาและบริการทางเทคโนโลยีกับองค์ธุรกิจในท้องถิ่น และการร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทยขยายการลงทุน D2C Commerce ไปยังประเทศเหล่านั้น โดยเบื้องต้นได้เข้าไปแล้วใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงค์โปร์ เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท ภายใน 3 ปี”
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ Montivory สามารถขยายธุรกิจต่อได้ไปได้ในระดับภูมิภาค คือ การมี Tech Enterprise ชั้นนำระดับโลก เช่น Adobe, Commercetools, Emplifi, Digimind และ Braze มาร่วมเป็นพันธมิตรในการทำงาน ซึ่งทีมงานของ Montivory ได้รับยังได้รับ Certificate จาก Adobe มากถึง 59 Certificate สูงที่สุดในเอเซีย ทำให้มีเราความพร้อมทั้งทางเทคโนโลยีและบุคคลกร รวมทั้งมีทางเลือกในการจัดหาเครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละองค์กร นอกจากนี้เทคโนโลยีที่ Montivory มีอยู่ในมือ ยังครอบคลุมการทำงานทั้ง Ecosystem ของ D2C Commerce ไม่ว่าด้าน Data, Social Media หรือ E-Commerce จึงสามารถสนับสนุนการทำงานของในบริบทต่าง ๆ ของทุกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเครื่องมือที่น่าสนใจ เช่น
Adobe Real-Time Customer Data Platform หรือ Adobe Real-Time CDP – เป็นเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลขั้นสูงที่ Adobe เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา และได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือบริหารจัดการข้อมูลที่ดีที่สุดในโลก เนื่องจากมีความสามารถในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากช่องทางต่างๆ ของแบรนด์ เช่น เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น ระบบ Customer Service ได้แบบ 360 องศาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แล้วนำมาจัดทำเป็น Profile แบบเรียลไทม์เพื่อให้แบรนด์นำไปใช้ประโยชน์ เช่น การมอบคูปองส่วนลด หรือส่ง SMS สื่อสารการตลาดแบบเฉพาะตัว ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าได้เป็นรายบุคคล
Emplifi – คือ เครื่องมือที่มากกว่า Social Listening หรือเครื่องมือการจัดการ Content ทั่วไป เพราะ Emplifi คือ Social Marketing and Commerce Cloud ที่ผนวกความสามารถด้าน Social Listening, การจัดการ Content, Customer Care, การตลาด และการขาย เข้าไว้ด้วยกัน Emplifi จึงทำงานได้อย่างหลากหลายตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกใน Social Media, การติดตามดูแลและสื่อสารกับลูกค้า, Community Management, Social Commerce และมีฟีเจอร์ ShopStream ที่สามารถสร้าง Live Video Shopping โดยตรงกับลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมามีหลายองค์กรที่นำไปใช้จนประสบความสำเร็จ เช่น สายการบิน Delta, Domino’s Pizza และ Mercedes-Benz
Commercetools – เป็นเครื่องมือจัดการ E-Commerce ที่มีระบบการให้บริการต่าง ๆ แบบ API-First Approach เช่น การจัดกลุ่มลูกค้า, ป้ายราคา, ตะกร้าสินค้า, ระบบ Online Payment, ระบบ Multi Currency และ Muti Language ไว้อย่างครบวงจร โดย CommerceTools เป็นเทคโนโลยี Digital Experience Platform (DXP) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Headless-Commerce ในการออกแบบ ทำให้สามารถเชื่อมต่อหรือทำงานร่วมกับระบบอื่น ๆ ได้แบบเรียลไทม์โดยผ่าน API ขณะที่บริการต่าง ๆ อยู่ในรูปของ Micro Service ที่มีความเป็นอิสระจากกันและทำงานอยู่บนระบบคลาวน์ จึงทำให้สามารถรับประกันเรื่องปัญหาระบบล่มได้ถึง 99.99%
คุณสุปรีย์ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากเทคโนโลยี สิ่งที่ถือเป็น Core Value ของ Montivory อีกประเด็นคือการมีทีมงานที่เชี่ยวชาญ ครอบคลุมตั้งแต่ทีมที่ปรึกษาธุรกิจ, นักพฤติกรรมศาสตร์, นักพัฒนาไอที, ผู้จัดการโครงการ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และจัดการข้อมูล, ทีมครีเอทีฟและคอนเทนต์ ซึ่งทุกคนต่างได้รับ Certification หรือการรับรองจากเจ้าของแพลตฟอร์มที่แต่ละคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะ Adobe ซึ่ง Montivory เป็นบริษัทพาร์ตเนอร์ที่ได้การรับรองถึง 59 Certification นับว่ามีจำนวนบุคลากรที่ได้รับการรับรองที่สามารถรับมือได้ในทุก ๆ ความต้องการด้านการปฏิบัติการเทคโนโลยีการตลาดในภูมิภาค
“จากทำงานหนักมาตลอด 4 ปี โดยดูแลลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม, ธุรกิจการดูแลสุขภาพ, พลังงาน, ยานยนต์, ธุรกิจประกันภัย หรือแม้แต่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ทำให้เรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีพัฒนา Data to Commerce ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและให้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่น่าพอใจ วันนี้เรามีความมั่นใจมากในการก้าวไปสู่ธุรกิจระดับภูมิภาค และเชื่อว่าจะสามารถสร้าง Digital Service Innovation ที่น่าตื่นเต้นได้อีกมากมายในอนาคตที่จะถึงนี้” คุณสุปรีย์กล่าว