บนเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันที่งาน Sustainability Expo 2022 (SX2022) ในหัวข้อเรื่อง “Bangkok Green Link” ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันที่ต้องผลักดันให้กรุงเทพฯก้าวสู่การเป็นมหานครสีเขียว โดยมีเป้าหมายให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่เข้าถึงได้ และใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้คงต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง Urban Design and Development Center (UDDC) ภูมิสถาปนิก ยศพล บุญสม จาก we!park อนันตา อินทรอักษร จาก โครงการ Big Trees Project และ ปารีณา ประยุกต์วงศ์ จาก Wastegetable มาร่วมเสวนาในครั้งนี้ อดิศักดิ์ กล่าวว่า คุณภาพชีวิตที่ดีคือการที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงสวนสาธารณะได้ภายใน 15 นาที หรือ 400 เมตรจากที่พักอาศัย แต่ในปัจจุบัน ระยะทางเฉลี่ยสำหรับผู้อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวคือประมาณ 5 กม. หรือ 45 นาที ตามข้อมูลของ UDDC พื้นที่สีเขียวโดยรวมต่อคนในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 7.6 ตร.ม. เทียบกับ 13 ตร.ม. ในปารีส ทั้งนี้พื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ ยังคงต่ำกว่าที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก คืออย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคนแต่อดิศักดิ์ชี้ว่า พื้นที่สีเขียวบางแห่งในกรุงเทพฯ เช่น เกาะกลางถนน หรือพื้นที่ส่วนบุคคลนั้นไร้ประโยชน์ เพราะคนทั่วไปไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งเขาเน้นว่าพื้นที่สีเขียวที่ใช้งานได้จริงควรเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้
อดิศักดิ์ ตั้งคำถามว่า อีก 5-10 ปีพวกเราจะต้องการพื้นที่สีเขียวแค่ไหน ถ้าเลือกได้พื้นที่สีเขียวไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เท่ากับสวนลุมพินี หรือสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ก็ได้ แต่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมที่ดีต่อใจเพราะอยู่ใกล้บ้าน เข้าถึงง่าย และตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยในชุมชน และในขณะเดียวกันต้องเชื่อมโยงพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้ว เขากล่าวว่ากรุงเทพฯ สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวสาธารณะ โดยการเปิดพื้นที่วัด พื้นที่ของหน่วยงานรัฐ และทหาร หรือแม้แต่สนามกอล์ฟให้สาธารณชนได้เข้าใช้งาน โดยที่เจ้าของพื้นที่ไม่จำเป็นต้องยกกรรมสิทธิ์ให้กับสาธารณะ แต่เพียงเปิดพื้นที่ให้สาธารณะใช้แนวคิดในการสร้างพื้นที่สีเขียวที่จะเชื่อมโยงทั้งเมือง ในที่สุด ได้รับการสนับสนุนจาก we!park กลุ่มพลเมืองที่พยายามเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ใช้หรือรกร้างในเมืองให้เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็ก เพื่อให้ชุมชนรอบเมืองหลวงสามารถเพลิดเพลินกับสีเขียว ช่องว่างที่เข้าถึงได้ง่าย we!park เสนอให้ใช้แบบจำลองความร่วมมือต่างๆ เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวสำหรับการเข้าถึงของสาธารณะ หนึ่งคือสวนสาธารณะที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและจัดการอย่างเต็มที่เช่นสวนหัวลำโพงรักนิเวศน์หรือเป็นเจ้าของและจัดการโดยเอกชนเช่น G Garden และ Sansiri Backyard อีกรูปแบบหนึ่งคือความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสามารถอยู่ในรูปแบบของการลงทุนของภาครัฐในอสังหาริมทรัพย์ส่วนบุคคล เช่น สวนสานธารณะ หรือในทางกลับกัน เช่น สวนสาธารณะชุมชนโชฎึก
ภูมิสถาปนิก ยศพล เริ่มได้ความคิดจากการวิ่งออกกำลังกาย และเห็นพื้นที่มากมายถูกทิ้งร้าง จึงเกิดไอเดียทำงานร่วมกับหลายเครือข่าย หาพื้นที่รกร้างมาทำสวนเล็กๆ ให้คนเมือง “แทนที่เอกชนจะปลูกกล้วย เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี น่าจะนำเงินจำนวนเดียวกันที่ปลูกกล้วยมาทำสวน แล้วทางกทม.ช่วยดูแลจะดีกว่าไหม ไม่ใช่ว่าเป็นสวนกล้วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นฟาร์มที่มีคุณภาพมีผลิตภัณฑ์อาหารจริงๆ คงดีกว่า” แต่การสร้างสวนสาธารณะไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไป ยศพลกล่าวเสริม การสร้างสวนสาธารณะอาจเป็นความฝันของคนชั้นกลาง เพราะคนหาเช้ากินค่ำไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะไปเที่ยวสวนสาธารณะ ในขณะที่ชนชั้นกลางเรียกร้องพื้นที่สีเขียว ผู้ค้าต้องการพื้นที่ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ พื้นที่สีเขียวสาธารณะในอุดมคติควรได้รับการออกแบบสำหรับการใช้งานทั่วไป กิจกรรมสันทนาการ และสำหรับการค้าขนาดเล็กด้วยเช่นกัน เขากล่าว
สิ่งที่ทาง we!park ทำมาสองปี ไม่ใช่เพียงสร้างแค่สวน แต่สร้างสังคม “เราทำไปแล้ว 5 พื้นที่ ที่ดินบริจาคจากเอกชน มีการระดมทุนจากเทใจและเชื่อมโยงกับกทม. ทำงานกับน้องๆ จุฬาฯ ถ้าเอกชนร่วมด้วยช่วยกัน จะทำให้คนเมืองมีสวนเล็กๆ มากขึ้น ถ้าจะให้พื้นที่สีเขียวเกิดได้จริงและเร็ว พลังต้องมาจากทุกคน พื้นที่สีเขียวคิดแบบแยกส่วนไม่ได้ ถ้าเรามีองค์ความรู้ เงินทุนสนับสนุน มีสำนักเขตและชุมชนดูแล เราต้องมีคนทำงานรับผิดชอบด้านกล้าไม้ และการดูแลสวนด้วย ”
อนันตา อินทรอักษร ผู้ร่วมก่อตั้ง Big Trees Project กลุ่มที่ออกมารณรงค์เรื่องการดูแลต้นไม้ใหญ่ และการตัดแต่งต้นไม้อย่างถูกวิธี กล่าวว่า พื้นที่สีเขียวในเมืองมีน้อยไป “ต้นไม้ต้องดูแลให้ถูกวิธี ถ้าเราไปบั่นยอดเพื่อลดความเสี่ยงการติดสายไฟ การบั่นยอดจะทำให้เกิดกิ่งกระโดง รุกขกรหลายคนสอนเราว่า จะตัดแต่งต้นไม้ ไม่ใช่แค่ตัด ต้องเข้าใจธรรมชาติต้นไม้ ล่าสุดบิ๊กทรีกำลังทำเรื่องทะเบียนต้นไม้ เพื่อจะรู้ถึงจำนวนประชากรต้นไม้ โดยเปิดให้คนทั่วไปมาลงทะเบียนผ่านออนไลน์ อนันตา บอกว่า ต่อไปก็จะรู้ว่า ต้นไม้จะได้รับการดูแลและทำศัลยกรรมเมื่อไหร่ “บิ๊กทรีลองเรียนรู้การทำทะเบียนต้นไม้ ถ้าเรารู้เรื่องคาร์บอนเครดิต (ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด) ที่เกิดขึ้น เราสามารถเทรดกับต่างประเทศได้ และไม่ใช่แค่เมือง “เราอยากได้พื้นที่ที่เป็นสมบัติร่วมกัน ได้เพาะปลูกด้วยกัน กินอยู่รู้ที่มา เป็นพื้นที่ที่สร้างความหลากหลาย เป็นพื้นที่ตลาด ห้องเรียนธรรมชาติให้เด็กๆ ดังนั้น ถ้าทำเมืองยั่งยืน ต้องกลับมาที่ราก ถ้าเราจะปลูกต้นไม้ เวลาที่ดีที่สุดคือปลูกตอนนี้” เพิ่มเขียวๆ บนดาดฟ้า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนกลุ่มเล็กๆ พัฒนาโมเดลธุรกิจฟาร์มบนดาดฟ้า โดยใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างไลฟสไตล์ใหม่ให้คนเมือง และพยายามทำอย่างต่อเนื่อง
ปารีณา ประยุกต์วงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Bangkok Rooftop Farming เล่าถึงฟาร์มแรกที่เราทำที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ว่า “ก่อนโควิดมีเศษอาหารประมาณ 200 กิโลกรัมต่อวัน เราไปคำนวณคาร์บอนฟุตปริ้นท์ (ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา) ปีหนึ่งกำจัดเศษอาหารได้ 22 ตัน แต่เจ้าของไม่เคยเคลม ถ้าเอาขยะเศษอาหารมาทำปุ๋ยหมัก จะมีโมเดลธุรกิจแบบไหนที่จะสร้างมูลค่าและทำให้เอกชนอยากทำเรื่องนี้ ฟาร์มเล็กๆ 200 ตารางเมตรที่ดาดฟ้าเซ็นเตอร์วัน เราสามารถปลูกผักได้ 240 กิโลกรัมต่อเดือน เราจัดการขยะอาหารได้หมด”
ที่ผ่านมา พวกเขาทำฟาร์มดาดฟ้า 19 ฟาร์มทั่วกรุงเทพฯ ในช่วงสองปีสามารถจัดการขยะอาหารได้ถึง 220 ตัน “กรุงเทพฯ มีตึกประมาณ 1,280 ตึก ขอเพียง 10 % นำมาทำฟาร์มดาดฟ้า ปีที่ผ่านมาทำไป 2 ไร่ ถ้าเราตั้งเป้าไว้ 5 ปี อีก 4 ปีที่จะถึงจะมีวิธีทำให้พื้นที่ดาดฟ้าได้ใช้ประโยชน์อย่างไรบ้างฟาร์มดาดฟ้าเป็นเสมือนโอเอซิสของชีวิต ปีนี้พวกเรากำลังจะทำเรื่องดอกไม้กินได้เป็นฟาร์มแรก เมื่อไม่นานมีร้านค้าในซอยทองหล่อมาบอกว่า ให้ช่วยปลูกดอกไม้กินได้ให้อาทิตย์ละ 500 กรัม ทุกวันนี้ ฟาร์มของเรา 200 ตารางเมตร มีนกเขาสามตัวแล้ว ตอนนี้เราให้เด็กประถมมาเรียนรู้เรื่องหนอน ไส้เดือน ในแปลงผัก เด็กๆ ไม่เคยเจอแบบนี้” ปารีณา เล่า และนี่คือพื้นที่สีเขียวของคนเล็กๆ ที่ไม่ใช่สวนขนาดใหญ่ อาจเป็นฟาร์มดาดฟ้า พื้นรกร้างที่ถูกเปลี่ยนเป็นสวนเล็กๆ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกันในชุมชน