6 เทรนด์เปลี่ยนชีวิต ปีหน้ามาแน่ 2022

เทรนด์เปลี่ยนชีวิต

ในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และไอโอที (IoT) กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมและเพิ่มความสามารถของอาชีพต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงแพทย์ ทนายความ และสถาปนิก ทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าทึ่งได้ 

อย่างไรก็ตาม มันยังทำให้ชีวิตประจำวันของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยการปรับปรุงความสามารถในการสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัว ช่วยในเรื่องของการดูแลสุขภาพ แต่งเติมบ้านด้วยเครื่องใช้และอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือเพียงช่วยให้เราพักผ่อนและเพลิดเพลินกับภาพยนตร์ เพลง และเกม ในประสบการณ์ใหม่ ๆ มากขึ้น 

1.Rise of the Domestic Robots  โรบอทจะเพิ่มมากขึ้น 

ทุกวันนี้เรามักพบเห็นหุ่นยนต์ใกล้ตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเครื่องดูดฝุ่นแบบหุ่นยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์เอนกประสงค์อื่น ๆ โดยบริษัทยักษใหญ่อย่าง Amazon ได้เริ่มผลิตหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า Astro ซึ่งเป็นหุ่นยนต์เอนกประสงค์ตัวแรกออกสู่ตลาดแล้ว มีความสามารถมากมาย ไมว่าจะเป็นการลาดตระเวนในบ้าน ช่วยตรวจสอบบุคคลที่ไม่รู้จัก ช่วยอยู่กับคนแก่เป็นเพื่อนและคอยแจ้งเตือนยามฉุกเฉิน 

นอกจากนี้ยังมีบุคลิกที่ทำให้คุณรู้สึกว่าหุ่นยต์เป็นเพื่อน และพร้อมทั้งให้ความบันเทิงทั่วไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพลง พูดคุย หรือให้ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ  หากประสบความสำเร็จ ผู้ผลิตรายอื่นจะเอาด้วย และนั่นจะทำให้การใช้งานหุ่นยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากครับ 

2.VR/AR and the Internet of Senses  โลกของ VR ที่สามารถสัมผัสได้

ในปัจจุบัน การมีส่วนร่วมกับเนื้อหาและบริการดิจิทัลทางออนไลน์นั้นเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา ซึ่งไม่ใช่การมองเห็นและการได้ยินเพียงอย่างเดียว แต่ผู้พัฒนาอุปกรณ์ VR และ AR ส่วนใหญ่กำลังสร้างอุปกรณ์ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถสัมผัสรสและกลิ่นได้เพิ่มขึ้น  เพื่อทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับประสบการณ์ดิจิทัลอย่างแท้จริง  ยกตัวอย่างวิดีโอเกม Phasmophobia ที่เป็นเกมการล่าผี ด้วยเทคโนโลโยใหม่นี้ จะทำให้ผู้เล่นสามารถรู้สึกว่าตัวเองถูกแตะต้องหรือจับโดยผีครับ  แค่มาธรรมดาก็หัวใจจะวายแล้ว

ในปี 2021 มีรายงานว่า Oculus ขายชุดหูฟัง Quest 2 ได้เกือบสองล้านเครื่อง รวมทั้งตอนนี้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook กำลังพัฒนาแว่น VR ราคาถูก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ VR ได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าทั้งหมดนี้คือแรงจูงใจผู้ผลิตเกมจำนวนมากนำเกมมาสู่ VR มากขึ้นครบ 

3.Enter the Metaverse เข้าสู่ยุค Metaverse อย่างแท้จริง

หากใครได้ดูตัวอย่างภาพยนต์ใหม่อย่าง The Matrix Resurrections แล้ว มันน่าจะกระตุ้นความสนใจเกี่ยวกับโลกเสมือนของเราออกมาได้มากขึ้น ซึ่ง   Metaverse จะถูกใช้งานอย่างจริงจังภายใน 2565  โดยบริษัทต่าง ๆ ทั้ง  Facebook, Nvidia และ Microsoft ได้วางแผนสำหรับ Metaverse ไว้แล้ว พวกเขามีเป้าหมายที่ จะสร้างสภาพแวดล้อมในโลกออนไลน์ที่สมจริง ซึ่งจะมอบโลกที่ยั่งยืนสำหรับการทำงาน การเข้าสังคม และการเล่นเกม 

หากนึกไม่ออก ลองดูตัวอย่างเกม Fortnite ที่ Epic เป็นคนพัฒนาขึ้น โดยเกมนี้เป็นเกมที่เคยทำสถิติมีผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันถึง 15 ล้านคนมาแล้ว ตัวเกมใช้ลักษณะการเล่นแบบ battle Royal แต่มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ให้ผู้เล่นมาร่วมสนุก  เช่น การชมคอนเสิร์ตครับ  ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตจะมีกิจกรรมอื่น ๆ มากขึ้น

4.5G and other ultrafast networks  5G จะถูกใช้งานอย่างเป็นปกติ 

ความสามารถของ 5G จะกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อื่น ๆ  ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่มือถือรุ่นเรือธงหรืออุปกรณ์ราคาแพงครับ  และด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น เราอาจเห็นการสตรีมวีดีโอระดับความคมชัดที่ 8K   หรือการเล่นเกมผ่านระบบคลาวด์และ VR  นั่นหมายความว่า อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเล็กและเบาลง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลภายในตัวของมัน เพราะสามารถส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์ได้แล้ว เพราะแบนวิธด์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ๆ 

5.Smart homes and the internet of things บ้านเราจะฉลาดมากยิ่งขึ้น 

แนวโน้มบ้านอัจฉริยะและไอโอทีนั้นมีมานานมากแล้ว แต่ในปี 2022 นี้ มันกำลังจะฉลาดมากขึ้นครับ   เพราะต้องยอมรับว่า ในอดีตที่ผ่านมา อุปกรณ์จากผู้ผลิตหลายรายมักจะทำงานโดยใช้โปรโตคอลของตนเอง และถึงแม้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มักได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ แต่ไม่มียังไม่มีระบบปฏิบัติการร่วมกัน หรือเทียบเท่ากันเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจัดการและเชื่อมต่ออุปกรณ์และของเล่นทั้งหมดของตนได้

โดยตอนนี้  Apple, Google และ Amazon กำลังร่วมกันพัฒนา “Matter” ชื่อเรียกของ “Smart home OS” หรือระบบปฏิบัติการที่ถูกออกแบบมาใช้กับอุปกรณ์ Smart home โดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถทำให้อุปกรณ์ Smart home ต่าง ๆ ทำงานได้แบบรวมศูนย์

6.NFT, blockchain, and Digital twins โลกของ NFT ที่เฟื่องฟู

ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีทั้งสามตัวนี้มีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด โดยบล็อคเชน เป็นการแยกบัญชีดิจิทัล สามารถกระจายการรู้ และเข้ารหัสไว้  ส่วน NFT  เป็นโทเค็นเฉพาะที่สามารถสร้างและจัดเก็บบนบล็อคเชน และสุดท้าย Digital Twins เป็นโมเดลดิจิทัลหรือแบบจำลองของผลิตภัณฑ์ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่นเครื่องยนต์ไอพ่นหรือฟาร์มกังหันลม หรือแม้แต่สิ่งของที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น อาคาร หรือแม้แต่เมืองทั้งเมือง

เราจะเริ่มเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างมาก แบรนด์ผู้บริโภค อย่าง Sony, Asics และ Coca-Cola ได้ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ NFT และแน่นอนว่าในอนาคตจะมีโปรดักส์ที่ออกแบบมาให้บริการในรูปกแบบ NFT มากขึ้นนั้นเอง