สงคราม Apple VS Facebook ความเป็นส่วนตัวกับราคาที่ผู้ใช้ iPhone เลือกจะจ่ายหรือไม่ก็ได้
หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2020 Mark Zuckerberg ซีอีโอของ FACEBOOK พร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายของ Google, Amazon และ Apple กำลังตอบคำถามอันร้อนแรงแก่คณะกรรมการต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐ ในวันนั้น Tim Cook ตระหนักดีว่า ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้การอุปกรณ์จำนวนมากอาจมาจากรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ ไม่ได้มาจากสภาคองเกรส
และเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์อธิบายการเปลี่ยนแปลงความเป็นส่วนตัวที่กำลังจะเกิดขึ้นของ Apple ซึ่งยืนยันชัดเจนแล้วว่าจะแบนแอปไม่ให้แชร์พฤติกรรมของผู้ใช้ iPhone กับบุคคลที่สามเว้นแต่ผู้ใช้จะให้ความยินยอม และเขากล่าวชัดเจนว่านโยบายนี้ได้รับการออกแบบโดยมีสาเหตุจากแอปต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ Facebook ซึ่งเป็นธุรกิจ Social Media ที่อาศัยการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้คนและกำหนดเป้าหมายในการโฆษณาไปยังผู้คนเหล่านั้น
สิ่งนี้คือระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกัน ทั้งบริษัทนายหน้าการจัดหาข้อมูล และนักล่าที่ต้องการหารายได้อย่างรวดเร็วผ่าน Facebook โดย Cook กล่าวว่า เทคโนโลยีอาจไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากรวมเข้าด้วยกันทั้งในเว็บไซต์และแอปต่าง ๆ มากมายเพื่อที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ แม้เขาจะไม่ระบุชื่อของ Facebook แต่ก็ชัดเจนว่าเขานึกถึงใครหากตั้งคำถามเชิงโวหารเช่นนี้ สิ่งนี้เกิดคำถามว่า อะไรเป็นผลที่เกิดขึ้น หลังผู้ใช้งานหลายพันคนเข้าร่วมกลุ่มหัวรุนแรงจากการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์
อย่างไรก็ตาม สุนทรพจน์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีเนื้อหาสำคัญคือ กรอบความโปร่งใสการติดตามแอปของ Apple ที่กำหนดให้บริษัท ใด ๆ รวมทั้งโบรกเกอร์ข้อมูล ที่สร้างรายได้จากการติดตามผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ตทุกแอปบน iOS ที่ต้องการติดตามผู้ใช้งาน จะต้องได้รับอนุญาตจากผูใช้ก่อน (เข้าใจว่า iOS จะแจ้งเตือนผู้ใช้ก่อนใช้งาน)
และแน่นอนว่านี่เป็นข่าวร้ายสำหรับ Facebook เพราะบริษัททำเงินได้มากมายจากการนำผู้ใช้งานและผู้ที่ต้องการโฆษณาสินค้ามาเจอกัน โดยผู้ลงโฆษณาจะกำหนดเป้าหมายที่ต้องการส่งไป และ Facebook จะสร้างรายการที่ตรงกันของผู้ใช้ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเหล่านั้นโดยพิจารณาจากข้อมูลประชากรและพฤติกรรมและมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อโฆษณา
ในการดำเนินการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ Facebook ต้องเชื่อมโยงข้อมูลประจำตัวของผู้ใช้กับทุกสิ่งที่พวกเขาทำบนเว็บโดยใช้สิ่งต่าง ๆ เช่น การระบุตัวระบุออุปกรณ์และอีเมล เพื่อทำให้การโฆษณาประสบผลสำเร็จมากที่สุด
แต่สิ่งนี้จะไม่สามารถทำกับผู้ใช้งาน iOS ได้อีกต่อไป หากผู้ใช้เลือกไม่ให้แอปติดตามข้อมูล (เชื่อว่าหากเลือกได้ ้น้อยคนนะที่จะยอมให้ติดตาม) และด้วยเหตุนี้ อาจส่งผลต่อรายได้ของ Facebook ที่ผู้โฆษณาอาจไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินทำโฆษณาอีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ Facebook รายได้หดมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จากข้อมูลของนักวิเคราะห์
และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา Mark Zuckerberg ได้เรียกร้องให้มีการโจมตี Apple โดยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าที่เขาทำคดีอื่น ๆ เสียอีก ซึ่งเขามองว่าการที่ Apple ทำเช่นนี้ อาจเป็นข้ออ้างในการหารายได้อื่น ๆ ของ Apple ได้อนาคต
หากเหตุการณ์นี้่ดำเนินต่อเนื่อง และหากไม่มีบริษัทใดยอม มีความเป็นไปได้ที่ Apple อาจถอด Facebook ของจาก AppStroe และอาจทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเดือดร้อน แต่หากมองอีกมุม เรื่องนี้เป็นนโบายของ Apple เรื่องความปลอดภัยที่ชัดเจน โดยให้ผู้ใช้เป็นคนตัดสินเอง โดย Apple ไม่ได้ทำการบล็อคเองโดยตรง แต่ให้ผู้ใช้เลือกว่าจะแชร์หรือไม่แชร์เท่านั้นเอง และนี่อาจเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ Apple อาจชนะคดีครับ
ข้อมูลจาก
https://www.inc.com/justin-bariso/tim-cook-may-have-just-ended-facebook.html
.
https://www.trustedreviews.com/news/tim-cook-says-data-collection-costs-human-freedom-in-new-facebook-rebuke-4120699