หลายคนที่ติดตามข่าววงการสมาร์ทโฟนในไทย คงได้เห็นหลายสื่อนำเสนอข่าวคราวของ HTC ที่เตรียมนำ HTC U Ultra เข้ามาวางจำหน่าย แม้จะเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีที่เห็น HTC พร้อมกลับเข้ามาทำตลาดในไทยอีกระลอก แต่สิ่งที่ผมสนใจไม่น้อยกับการกลับมาครั้งนี้ คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายและศูนย์บริการ ซึ่งก่อนจะไปถึงตรงจุดนั้นเรามาดูความน่าสนใจของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้กันดีกว่าครับกับ “รีวิว HTC U Ultra”
HTC U Ultra สเปกมีดังนี้
– หน้จอ Super LCD ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560 x 1440 พิกเซล), หน้าจอที่สองขนาด 2 นิ้ว ความละเอียด 160 x 160 พิกเซล, กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5
– ระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ครอบทับด้วย HTC Sense
– ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 821 ความเร็ว 2.15GHz
– แรม 4GB, หน่วยความจำภายใน 64GB เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ด้วย microSD Card
– กล้องหลัง UltraPixel 2 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/1.8, ระบบโฟกัส PDAF, แฟลช Dual-Tone, Laser Focus และระบบกันสั่น OIS
– กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
– ใช้งานได้ 2 ซิมการ์ด
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม home
– ลำโพงไฮ-ไฟ HTC BoomSound, ระบบเสียง HTC Usonic
– แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0
ดีไซน์ : ภายนอกที่ดูเหมือนเป็นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทาง HTC เรียกดีไซน์นี้ว่า “Liquid Surface” การขึ้นโครงแบบ Unibody ด้วยอลูมิเนียมทั้งชิ้น ผสมกับการออกแบบตัวเครื่องให้มีความเงาวับเหมือนกระจก ตัวเครื่องจึงมีความสวยงาม แต่ด้วยการออกแบบในลักษณะก็ต้องยอมรับกับรอยนิ้วมือที่เกิดขึ้นได้ง่าย ทางที่ดีหาเคสใส่ด้วยเพื่อป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือจะดีกว่าครับ
หน้าจอที่สองนี้ เราสามารถทัชเพื่อเลื่อนดูแอพหรือรายชื่อผู้ติดต่อได้
ด้านหน้า : จอแสดงผลเป็นแบบ Super LCD ขนาด 5.7 มาพร้อมความละเอียด QHD (2560 x 1440 พิกเซล) กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5 แบบ 2.5D และที่มากขึ้นไปกว่านั้นยังมีหน้าจอที่สอง (Secondary Display) เป็นแท็บหน้าจอขนาด 2 นิ้ว อยู่เหนือจอหลักของเครื่อง ทำหน้าที่คอยแจ้งเตือน Notification ต่างๆ ที่เราสามารถกำหนดขึ้นเองได้ คล้าย LG V10 และ LG V20
ขยับลงมาท้ายจอแสดงผลจะเป็นปุ่ม back กับปุ่ม recent app คั่นกลางด้วยปุ่ม home ที่ฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ด้วย
ด้านหลัง : ประกอบไปด้วยกล้องที่มีนูนขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมด้วยแฟลชกับ Laser Focus และมีรูเล็กๆ อยู่บริเวณส่วนล่างสำหรับบันทึกเสียง
ขอบบน : เป็นช่องสำหรับใส่ซิมประเภท NANO SIM ได้ 2 ซิม หรือจะเลือกใส่ microSD Card ก็ได้, มีรูไมโครโฟนขนาดจิ๋วสำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ขอบล่าง : ไม่มีรูหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ใช้พอร์ต USB Type-C, ลำโพงเสียง และรูไมโครโฟนสำหรับสนทนา
ขอบด้านขวา : เป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
ขอบด้านซ้าย : ไม่มีปุ่มใดๆ
Software : ภายใต้ UI ที่เรียกว่า HTC Sense ในเวอร์ชั่นล่าสุด ยังคงไว้ด้วยความเรียบง่ายตามแบบฉบับ Material design ของ Android 7.0 Nougat แต่แฝงไปด้วยตัวเลือกสำหรับการใช้งานต่างๆ ซึ่งผมจะขอเล่าไปทีละอย่างแบบคร่าวๆ ดังต่อไปนี้ครับ
หน้า home ของ HTC U Ultra สามารถตกแต่งหรือเพิ่มวิตเจ็ตตามความชอบส่วนตัว
หากไม่ชอบธีมที่ตั้งเป็น default มีธีมให้เลือกเองได้ด้วย
เมนูปรับค่าการแสดงผล, การสั่งงานบางฟีเจอร์ในรูปแบบอื่นๆ และตัวเลือการใช้ระบบเสียง
เมนูเกี่ยวกับแบตเตอรี่ มีตัวเลือกสำหรับการใช้โหมดประหยัดพลังงาน
เมนูสำหรับการใช้หน้าจอที่สอง ที่เราสามารถกำหนดแอพที่ต้องการให้แสดงผลเองได้
กล้อง : เริ่มกันที่กล้องหลัง อันเป็นจุดขายที่ยังไงซะต้องทำพัฒนาให้ดีขึ้นไว้ก่อน เพื่อแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งใน HTC U Ultra ใช้เทคโนโลยี UltraPixel 2 ร่วมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/1.8 ช่วยในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังมาพร้อมระบบอื่นๆ อย่าง ระบบโฟกัส PDAF, แฟลช Dual-Tone, Laser Focus และระบบกันสั่น OIS เพื่อให้การถ่ายภาพในทุกสถานการณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ระหว่างการใช้งานกล้องหลัง เรายังสามารถเลือกโหมดถ่ายภาพอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง Zoe (การถ่ายคลิปวีดีโอสั้น), พาโนรามา, ถ่ายภาพแบบโปร, วีดีโอ, Hyperlapse, สโลว์โมชั่น, เซลฟี่, เซลฟี่พาโนรามา เป็นต้น สามารถเลือกใช้งานได้ง่ายจากแท็บด้านบน
โหมดถ่ายภาพแบบปกติ
โหมดถ่ายภาพแบบโปร
กล้องหน้า มาพร้อมความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ไม่มีระบบ Auto Focus มาให้ แต่ด้วยความละเอียดสูงทำให้การถ่ายภาพมีลักษณะชัดขึ้นและให้ความสว่างที่ดีขึ้นครับ
ตัวอย่างภาพถ่าย
รีวิว HTC U Ultra กับบทสรุปในครั้งนี้
ข้อดี
– ดีไซน์สวย
– ตัวเครื่องใหญ่ก็จริง แต่น้ำหนักเบา
– ระบบเสียงที่ให้ทั้งความดังและความครบถ้วนของเสียง ประกอบกับเทคโนโลยีด้านเสียงที่มีประสิทธิภาพในยามที่ต่อหูฟัง
– หน้าจอที่สอง จุดนี้แล้วแต่คนชอบนะครับ แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการเข้าถึงการแจ้งเตือนต่างๆ ได้ง่าย และเข้าถึงแอพที่ใช้บ่อยได้เร็วขึ้น
– การทำงานระหว่างซอฟต์แวร์ Android 7.0 Nougat + HTC Sense และฮาร์ดแวร์ ช่วยให้การทำงานแบบต่อเนื่องเป็นไปด้วยความลื่น อาการค้างหรือแอพเด้งยังไม่พบตอนทดสอบ
– กล้องหลังให้ภาพที่สวยขึ้น แม้ในสภาพแสงกลางคืน
ข้อด้อย
– ตัวเครื่องเกิดรอยนิ้วมือง่าย หากไม่ใส่เคส
– ตัดรูหูฟังทิ้ง 3.5 มิลลิเมตรทิ้ง ไม่มีตัวแปลงมาให้สำหรับคนที่ต้องการใช้หูฟังของตัวเอง เหมือนจำกัดให้ใช้แค่หูฟังของ HTC เอง
– กล้องหน้าไม่มี Auto Focus
ทิ้งท้ายไปด้วยราคาของ HTC U Ultra อยู่ที่ 22,490 บาท และการจัดจำหน่ายจะอยู่ที่ห้างมาบุญครองเพียงที่เดียวในตอนนี้ ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปตามห้างร้านอื่นๆ หรือโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 ค่ายด้วยหรือเปล่า แถมศูนย์บริการหลังการขายจะมีที่ไหนบ้าง ซึ่งก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันสำหรับการกลับเข้ามาทำตลาดในไทยรอบนี้
สำหรับผู้อ่านที่ต้องการติดตามรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ จาก aripfan & comtoday สามารถเข้าไปได้ที่ https://www.techhub.in.th/category/mobile-review/
รายละเอียดเฉพาะ HTC U Ultra จากหน้าเว็บไซต์ของ HTC ไทย